Author Archive
การประกวดวาดภาพวันวิทยาศาสตร์
by admin on ส.ค..30, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
พรุ่งนี้จะพานักเรียนฝปลองประกวดวาดภาพดูว่าจะสู้เค้สได้ไหม มั่นใจประมาณ 80% ว่าต้องมีรางวัลติดมือกลับมาแน่ ที่เหลือลุ้นกลัวจะทำไม่ทันในเวลาที่กำหนดโหดมาก 3 ชั่วโมงเอง
ผ่านพ้นไปแล้วกับการประกวดวาดภาพวิทยาศาสตร์
ถึงแม้การประกวดครั้งนี้จะแปลกๆสักหน่อย ระบบระเบียบมั่วๆ
กีฬานักเรียน กิจกรรมที่ควรสนับสนุน
by admin on ส.ค..30, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
กีฬานักเรียนนั้นมีเป็นประจำทุกหน่วยงาน ทุกสังกัด ทุกระดับชั้น ผมได้เป็นทั้งนักกีฬาตั้งแต่สมัยเรียนและผู้ควบคุมทีม เลยชื่นชอบเป็นพิเศษ กีฬาที่ชื่นชอบนั้นก็มีหลายอย่าง ที่ถนัดสุดก็บาสเก็ตบอล รองลงมาก็ปิงปอง และวอลเลย์บอล พอได้ทำงานก็เลิกเล่นไปนาน แต่พอมาเป็นครูก็เห็นเด็กๆเล่นกีฬากันและขาดแคลนคนูผู้ฝึกซ้อมก็เลยกระโจนลงไปอีกงาน กีฬาที่เลือกก็คือ ปิงปอง เพราะไม่มีคนทำ ครูคนเก่าย้ายไปแล้วเลยรับมาทำเอง พอได้ลงไปคลุกคลีกับเด็กๆ ก็ยิ่งเห็นถึงความสามารถของเด็กแถวนี้จริงๆ เล่นปิงปองกันมีแววมาก หลังจากที่ลงมือซ้อมและลองมองๆคนที่พร้อมจะเข้ามาเล่นจริงจังก็ได้มา2-3คนส่วนที่เหลือนั้นขาดซ้อม ถึงจะฝีมือดีแต่ขาดซ้อมก็ไม่ถือว่าเป็นนักกีฬา สู้คนที่ตั้งใจซ้อมแต่ไปชนะหรือแพ้ก็จะได้ผลลัพท์และกำลังใจที่ดีกว่า หลังจากลงทุนลงแรงด้วยตนเองไปเยอะพอสมควร เพราะขาดการสนับสนุนที่ดีจาก….แต่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผลงานที่ได้รับกลับมานั้นน่าพอใจเลยที่เดียว ทั้งในระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด กวาดรางวัลมามากน้อย ทุกรายการ น่ายินดีจริงๆ
ศิลปะภาพพิมพ์
by admin on ส.ค..28, 2013, under ครูหมีสอนศิลปะ
หน่วยการเรียนรู้เป็นเรื่องการสอนเกี่ยวกับ ศิลปะภาพพิมพ์ในโรงเรียนบ้านนอกที่ห่างไกลจากเมืองแบบนี้การที่จัสอน ศิลปะถาพพิมพ์นั้น เป็นเรื่องค่อนข้างยากลำบากที่สำคัญเลยคืออุปกรณ์ในการเรียน ในเนื้อหาต้องสอนเกี่ยวกับการพิมพ์ภาพจาก 4 ประเภท คือ
1.แม่พิมพ์นูน (แกะไม้ แกะโฟม)
2.แม่พิมะ์ร่องลึก (ไม่สามารถทำการสอนปฎิบัจิได้เพราะต้องใช้แท่นะิมพ์แรงกดสูง แม่พิมพ์โลหะ หิน)
3.แม่พิมพ์ตะแกรงไหม (ทะลุ) ซิลค์สกรีนนั้นเอง
4.แม่พิมพ์จากพื้นผิววัสดุต่างๆ หิน ไม้ และสิ่งของรอบๆตัว
วิชาศิลปะในปัจจุบันต้องเรียนอย่างไง?
by admin on ก.ค..29, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
วิชาศิลปะในปัจจุบันระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายนั้น รูปแบบการเรียนเปลี่ยนไปมากจากสมัยผมเรียนตอนเด็ก ในปัจจุบันวิชาศิลปะนั้นแทบจะโดนถอดออกจากวิชาหลักไปแล้วใน ม.ต้น นั้นเหลือเรียนแค่สัปดาห์ละ 2 คาบ(คาบละ55นาที) ม.ปลายนั้นยิ่งหนักเหลืออาทิตย์ละ 1 คาบเท่านั้น แล้วถ้สโรงเรียนนั้นเน้นวิชาการหลัก คณิต อังกฤษ วิทย์ ภาษาไทย ก็แทบจะไม่เหลือวิชาศิลปะเพิ่มเติมให้เรียนเลย เว้นแต่ ม.ปลายจะเลือกเรียนสายศิลป์ ซึ่งเหลือน้อยมากและผิดวัตถุประสงคในการเลือกเรียนไปแล้ว เพราะเด็กที่เลือกเรียนสายศิลป์ไม่ได้ชอบวิชาศิลปะ แต่เข้าใจและได้รับการแนะนำที่ผิดๆมาจากทั้งครูและพี่ เพื่อน ว่าเรียนสายศิลป์แล้วจะเรียนง่ายสบาย ไม่ค่อยเรียน และจบสะดวก!!!!
ส่วนถ้าเรียนกันจริงๆแล้ว เนื้อหานั้นมากมายเหลือเกิน ตามตัวชี้วัด อะไรที่มากมายจนไม่มีทางที่จะสอนให้ครบได้ตามเวลาที่ให้มา ซึ่งแค่เนื้อหาที่ต้องเรียนถ้าเรียนกันจริงๆแล้วทั้งเทอมก็ไม่พอ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปทำงานปฏิบัติซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเรียนวิชาศิลปะที่สุด ภาระตกหนักที่ครูที่ต้องอัดเนื้อหาและวิชาการเข้าไปอย่างมากมายเพื่อ???? เพื่อหวังผลสัมฤทธิ์ของการทดสอบระดับชาติ o-net บ้าบอคอแตก ซึ่งเป็นตัวบอกคุณภาพของโรงเรียนและครูผู้สอนว่าทำการเรียนการสอนให้เด็กเข้าใจได้หรือไหม ซึ่งผมก็เห็นด้วย(บางส่วน)ว่าเป็นตัวกระตุ้นให้ครูและเด็กทำการเรียนการสอนอย่างตั้งใจ แต่…? ข้อสอบในปีที่ผ่านมาของทั้ง ม.ต้น และ ม.ปลายนั้น ผมได้ลองอ่านและลองทำเฉลยแล้วบอกได้เลยว่า หินมาก ยากสุดๆ อย่า!!!เพิ่งคิดว่าผมโง่เอง ท่านลองทำก่อน แล้วจะรู้ว่าข้อสอบนั้นมันเกินระดับเด็กมัธยมที่จะสามารถทำได้ มันข้อสอบของระดับมหาลัยเลยจริงๆ เนื้อหาลงลึกมากจนเกินไป ในเมื่อท่านๆ นั่นไม่เห็นความวำคัญของวิชานี้แต่เวลาออกข้อสอบนั้นเหมือนกับจะเอาเด็กไปเข้ามหาลัยศิลปะชั้นนำของปนะเทศไทยเลยทีเดียว ผลการทดสอบที่ออกมานั้น หวาดเสียวมากสำหรับครูศิลปะอย่างผม คนอื่นอาจจะไม่ลำบากแต่ผมคิดมากไปเอง…เพราะอะไร????
เพราะผมมองว่าวิชาศิลปะนั้นในระดับมัธยมต้นและปลายควรงจะเน้นที่ความคิดสร้างสรรค์และความสนุกสนานในการเรียนมากกว่าวิชาการที่เข้มข้นเหมือนเรียนมหาลัย ทำไมผมถึงกล้าพูดแบบนั้น ก็ย้อนกลับไปอดีตชาติของผมที่ก่อนจะมาเป็นครูศิลปะมัธยมนั้ยผมเคยเป็นครูศิลปะระดับอาชีวะมาก่อน ซึ่งเนื้อหายังไม่หนักขนาดนี้เลยเน้นฝีมือและทักษะ วิชาการพอประมาณ. แล้วผลที่ได้คือเด็กมีฝีมือสอบเข้ามหาลัยชั้นนำของประเทศได้ ด้วยการทดสอบ ทักษะเป็นส่วนใหญ่และบางมหาลัยมีการทดสอบวิชาการแต่!!! ข้อสอบนั้นง่ายกว่า o-net ระดับมัธยมซะอีก!!!!!
ผมครุดคิดและสับสนในแนวทางการสอนอยู่บ่อยครั้งว่าจะเอาไงดีวะเนี้ย ตูจะสอนไงดีวะ เอาวิชาการเน้นผล o-net เอาทักษะฝีมือที่ได้ หรือจะเอาทั้งสองอย่างผสมกันซึ่งทำอยู่แต่…ถ้าผสมกันแล้วจะทำให้เนื้อหานั้นไม่พอจะสอนในเวลาที่กำหนดให้ จะให้งาน ให้รายงาน ให้การบ้านก็แสนจะสงสานเด็กไทยจริงๆ เพราะทุกวิชาคงจะเป็นเหมือนกันหมด การบ้านมากมายมหาศาล เลยต้องหลีกทางให้กับวิชาหลัก…..
หลังจากที่ลองผิดลองถูกมาหลากหลายวิธีสุดท้ายผมตัดสินใจแล้วว่า การเรียนศิลปะให้ได้ดีนั้นต้อง สอนให้เด็กสนุกในการเรียน ไม่ใช่แค่วาดรูปอย่างเดียว ต้องผสมทุกสิ่งทุกอย่างไปในตัวทั้ง การงานอาชีพ คอมพิวเตอร์ วิชาการ วาด ปั้น พิมพ์ ของเล่น เกมต่างๆ และที่สำคัญต้อง ชื่นชม โชว์ผลงานเหล่านั้นของเด็กให้ทุกคนในโรงเรียนได้เห็นและชื่นชมด้วย ให้เด็กสนุกและเริ่มที่อยากจะเข้ามาเรียน ตื่นเต้น ชอบ และรู้สึกว่าเข้ามาเล่น!! ไม่ได้มาเรียน แล้วเราค่อยแทรกเนื้อหาที่สำคัญเข้าไปในระหว่างการทำงานหรือแนะนำเป็นรายบุคคลเลยตามความสามารถเลยจะได้ผลที่ดีที่สุด
ครูหนุ่ม
30 ก.ค. 2556
การประกวดแข่งขันวาดภาพ? ได้อะไร? ใครได้?
by admin on ก.ค..23, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
ตลอดปีการศึกษามีการประกวดแข่งขันวาดภาพระบายสีเข้ามามากมาย ท่านผู้บริหารก็จะพยายามกระตุ้นให้มีการส่งเข้าประกวดอยู่ตลอดเวลาด้วยเหตุผลคืออะไรคนที่อ่านลองนึกๆไว้ในใจตอนนี้เลยนะครับก่อนอ่านบทความต่อไป ว่าคิดต่างจากผมอย่างไง บทความนี้ผมเขียนขึ้นมาเพราะในการส่งประกวดครั้งล่าสุดนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจในตัวเองว่าทำไปทำไม?
คำถามคือ?
ครูและเด็กพร้อมไหม?
มีเวลาให้มากขนาดไหน?
การสนับสนุนจากโรงเรียนละมีไหม?
ผมถามตัวเองทุกครั้งว่าประกวดไปเพื่ออะไร? เพื่อตัวครู หรือเด็ก หรือผู้บริหาร หรือเพื่อโรงเรียน
ความไม่มั่นใจในแนวทางการทำงานและเหตุผลบางครั้งทำให้งงๆ บ่อยครั้ง เพราะอะไรเพราะคนลงมือทำงานคือตัวเด็ก ไม่ใช่ครู ไม่ใช่ผู้บริหาร ไม่ใช่โรงเรียน แต่เป็นตัวเด็กนักเรียนล้วนๆ หลายครั้งที่เด็กถามกลับมาว่า “ประกวดไปทำไมค่ะ” คำุถามนี้ทำให้ผมอิ้งไปหลายครั้งอยู่เพราะว่าเราตอบจริงๆไม่ได้ “อ้อ นายสั่งง่ะต้องเอาใจนาย” “อ้อเผื่อได้รางวัลง่ะครูและท่านจะได้ได้หน้า” “โรงเรียนจะได้มีชื่อเสียง มีหน้ามีตา” คำตอบเหล่านี้มันผุดขึ้นมาในใจผมทันทีที่เด็กถาม แต่ไม่ใช่คำตอบที่เด็กต้องการ แล้วผมจะตอบอย่างไง…..
หลายๆคนอ่านมาถึงตรงนี้(ถ้ามีคนอ่านนะ)คงจะตอบว่า “เอ้า ก็ประกวดให้เด็กได้รางวัลละสิ” “เอ้า ก็ประกวดเพื่อสร้างความภูมิใจให้เด็ก พ่อแม่ ผู้ปกครองและโรงเรียนไปจนถึงครูผู้สอน ผู้บริหารนะสิ” ใช่ครับคำตอบง่ายๆ แค่นี้เอง…
แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่จะให้เด็กมาทำงานประกวดด้วยความตั้งใจจริง ทำด้วยใจ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจทั้งตัวเด็กและครูนั้น มันละเอียดอ่อนและเปราะบางมาก ถ้าเราหวังผลการแข่งขันแพ้ ชนะ หรือหวังรางวัลเป็นที่ตั้ง การฝึกซ้อมก็จะแตกต่างกันออกไปทันทีในรูปแบบของผลงานที่กำลังจะทำไปส่งประกวด ผมเคยเห็นเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาค่อนข้างมากตั้งแต่เป็นเด็กผู้ลงมือทำจนกระทั่งมาเป็นครู บางครั้งครูจะเป็นคนออกแบบให้กับเด็กเลยแล้วให้เด็กเป็นคนลงมือปฎิบัติซ้อมจนคล่องมือแล้วไปประกวด บางที่โรงเรียนใหญ่ๆดังๆทางด้านศิลปะถึงขั้นเรียกประชุมคณะครูทั้งกลุ่มเพื่อระดมความคิดในการออกแบบกันเลยทีเดียว บางที่คณะครูถึงกับพูดว่าการประกวดแข่งขันนั้นหมายถึงการโชว์ความสามารถของครูผู้ควบคุมการฝึกซ้อมกันเลยที่เดียวไม่ใช่ความคิดของเด็กเลย….แล้วเด็กได้อะไร? ได้รางวัล? ภูมิใจ? ได้ชื่อเสียง? หรือใครได้อะไร? และเมื่อเป็นอย่างงั้นเด็กจะเป็นอย่างไง?.
.
แรกๆ ผมทำแบบที่กล่าวมาทั้งหมดเพราะหวังผลที่จะตามมา ได้รางวัลมาแสนจะดีใจดีใจมากกว่าเด็กอีก กลับมาโรงเรียนมีการมอบรางวัลซ้ำอีกที่คณะ ที่หน้าเสาธง ถ่ายรูปกับท่านๆทั่งหลาย แสดงความยินดีไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จน…เมื่อเราถามความรู้สึกเด็กที่พาไปชนะได้ที่ ๑ มาว่ารู้สึกอย่างไง เด็กตอบกลับมาทำให้สะเทือนใจไปเลย “ไม่รู้สึกอะไรเลยค่ะ ธรรมดาปกติ” ผมถามซ้ำอีกรอบ “ไม่ดีใจเลยเหรอได้ที่๑มาเลยนะ” เด็กตอบให้สะเทือนหนักเข้าไปอีก “ไม่ดีใจเลยค่ะ รู้สึกเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลยก็ชนะแล้ว” …..ผมอิ้งไปเลยครับ ภาพการทำงานช่วงประกวดที่ผ่านมามันแวปวิ่งวนเข้ามาในหัวหมดเลยตั้งแต่ตอนเริ่มรับคำสั่งมาจากนายไปจนถึงการประกวดเสร็จสิ้น…..
ผมกลับมานั่งคิดทบทวน คิดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า เราทำอะไรอยู่? ประกวดไปเพื่ออะไร? แล้ว “เด็กได้อะไร” …..คำถามเกิดขึ้นมากมายในหัว คำตอบทางเลือกมีมายมายหลายเส้นทาง….จุดประสงค์ของการจัดการแข่งขันของผู้จัดการประกวดคืออะไร? จุดประสงค์ของผู้ส่งเข้าประกวดคืออะไร? และเด็กเข้าใจและเต็มใจในการเข้าประกวดไหม? สิ่งเหล่านี้ผมไม่เคยนึกถึงเลย นึกแต่ผลลัพธ์ที่จะได้ตามมา……
หลังจากการประกวดครั้งนั้นกับคำถามที่เจอมาและคำตอบที่ได้รับของเด็กและของตัวผมเอง แนวความคิดในการทำงานประกวดของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีการบังคับ ไม่มีการจัดฉาก ไม่มีการจัดเตรียม ไม่มีการเอาใจใครทั้งสิ้นไม่ว่านายจะสั่งมา บังคับมาถ้าไม่ตรงตามแนวความคิดหรือใช้แนวความคิดของผม ผมไม่ทำ ไม่ส่ง และไม่ร่วมเด็ดขาด ถ้าอยากได้เชิญครูท่านอื่นทำแทนผมได้เลย แนวทางนั้นคือ …
ถ้ามีการประกวดเข้ามา จะประชาสัมพันธ์การประกวดให้นักเรียนทราบก่อนทั่วทั้งโรงเรียน
เขียนชื่อครูผู้ควบคุมไว้หลายๆคน (ที่ร.ร.ผมมี ๒ คน) เพื่อให้เด็กเป็นคนเลือกครูผู้ควบคุมตามใจชอบ
ถ้าเด็กมาเลือกผมหรือมีความสนใจในการประกวด ผมก็จะให้ทำรายงานเกี่ยวกับหัวข้อประกวดนั้นๆก่อนเลย (ค้นคว้าข้อมูล research) ถึงขั้นตอนนี้มีเด็กถอยออกไปหลายคยอยู่แต่ผมก็ตามกระตุ้นก่อนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
ต่อมาเมื่อเด็กมีความสนใจค้นคว้าข้อมูลมาแล้วเราก็มานั่งคุยกันว่าได้ข้อมูลอะไรมาบ้างตอบถามตั้งข้อสงสัยตั้งสมมุติฐานในเรื่องนั้น (วิเคราะห์ปัญหา analysis)
เมื่อเด็กและครูมีความคิดเห็นที่ตรงกันแล้วถึงจะเริ่มทำงานกันได้ ขั้นต่อมาคือการให้เด็กสรุปและบรรยายสิ่งที่รู้และเข้าใจหรือสิ่งที่ต้องการจะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสืออย่างย่อ สรุปใจความสำคัญ (summary and report)
เมื่อนักเรียนเข้าใจในหัวใจของเรื่อง เข้าใจในสิ่งที่ต้องการจะถ่ายทอด เข้าใจในความต้องการของตนเอง ถึงจะให้เด็กลงมือร่างภาพแปลงจากตัวหนังสือเป็นภาพวาด (sketch)
เมื่อร่างภาพแก้ไขจนทั้งครูและเด็กพอใจเข้าใจตรงกันโดยครูเป็นคนแนะนำถึงเหตุผลในการแก้ไขอยู่เสมอและรู้จักรับฟังเหตุผลของเด็กก่อนว่าทำไมถึงวาดแบบนั้นตรงนั้นก่อนที่จะให้เด็กแก้งานโดยไม่รับฟังความคิดของเด็กก่อนอย่าลืมว่า “มันคืองานของเด็กไม่ใช่ของครู”
และขั้นตอนสุดท้ายการลงมือปฎิบัติลงสี (printing) ปล่อยให้เป็นไปตามใจเค้า ฝีมือเค้า คอยสนับสนุน ตอบคำถาม ให้กำลังใจเค้า เมื่อเค้าต้องการคำตอบ หรือเสริมความมั่นใจของเค้า…ผลงานก็จะเสร็จเองไม่ว่าจะ เต็มร้อยหรือไมาก็ตาม…
ช่วงขั้นตอนที่กล่าวมาทั้งหมดแม้จะใช้เวลานานและวุ่นวาย บางครั้งผมใช้เวลาเป็นเดือนๆในการทำขั้นตอนนี้ แต่ผลที่ได้รับนั้นจะทำให้เด็กมีความเข้าใจ รับรู้ถึงแรงบันดาลใจในการทำงาน สามารถเข้าใจตัวเองว่าทำไปเพราะอะไร มีเหตุมีผล และสามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างท่องแท้และกล้าที่จะแสดงความคิดของตัวเอง จนตัวผมเองยังตกใจในการพัฒนา ถึงแม้ว่าจะมีเด็กบางคนไม่สามารถก้าวข้ามมาในสิ่งที่ผมต้องการให้เค้าเข้าใจได้ ผมก็ยังคงให้ทำตามใจชอบของเค้าเองอยู่ดีถึงแม้ว่ามันจะไม่ดีผมก็ไม่ว่าและไม่แก้ไขให้ถ้าเค้ายังไม่เข้าใจและหวังว่าครั้งหน้าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกเค้า บางคนกระโดดข้ามขั้นตอนไปก็มี หายหน้าหายตาไปเลยก็มีหรือโผล่มาช่วงท้ายๆใกล้จะหมดเวลาแล้วก็มี ไม่เป็นไรขอแค่ให้เค้าตั้งใจมาเองผมรับหมดส่งหมด
และเมื่อเค้าได้รับรางวัลมาไม่ว่าจะรางวัลอะไรก็ตามเค้าจะภูมิใจ ดีใจ และเห็นคุณค่าของงานที่ลงมือลงแรงไป บอกกล่าวอย่างภาคภูมิใจต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู เพื่อน พี่น้องว่า “นี้คืองานที่เค้าตั้งใจทำและภูมิใจ”
ครูหนุ่ม
๒๒ ก.ค. ๒๕๕๖
เรากำลังทำอะไร?
by admin on ก.ค..18, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
คนที่เป็นผู้ใหญ่รวมทั้งตัวผมซึ่งเป็นครูและคุณครูอีกหลายๆท่าน เมื่อเห็นเด็กนักเรียนอยู่ในโรงเรียนที่มีตึก อาคารสถานที่ที่ดี มีความพร้อมของอุปกรณ์ นักเรียนแต่งกายด้วยชุดนักเรียนขาวสะอาด เรียบร้อย ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สนุกสนานร่าเริง มีมารยาทงาม จิตใจดี มีความตั้งใจในการเรียนที่ดี ผลการเรียนดี …..สิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็จะทำให้นึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กนักเรียน ครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข เพียบพร้อมทั้ง อาหารเครื่องนุ่งห่ม และสิ่งของเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต ซึ่งเมื่อมาอยู่แรกๆ ผมก็เข้าใจแบบนั้นตามสิ่งที่เห็นตรงหน้า เมื่อมีนโยบายของนายกฯ ให้ครูออกเยี่ยมบ้านของนักเรียนในความดูแลของคุณครู ความจริงที่เห็นแทบสลายหายไปในทันที….
เมื่อตอนที่ผมมาบรรจุที่นี้ใหม่ๆ ในการเรียนการสอนเด็กไม่ค่อยเข้าใจ บางคนผสมสียังไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็เข้าใจว่าเพราะที่นี้ไม่เคยมีครูศิลปะมาก่อนเลยอาจจะยังไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านศิลปะก็เป็นได้ แต่เมื่อผมได้ออกเยี่ยมบ้านนักเรียนครั้งแรกในชีวิตความเป็นครูที่โรงเรียนสุขไพบูลย์วิริยะวิทยา…..ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดและวิธีการสอน เทคนิคการสอนของผม แทบจะฉีกตำราทิ้งไปเลย เพราะอะไร? เพราะก่อนมาเป็นครูที่นี้ผมเป็นครูอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี วิทยาลัยซึ่งมีขนาดใหญ่พิเศษ นักเรียนร่วมๆ 6,000 คน ได้พบเจอกันนักเรียนที่มีความเป็นอยู่ปกติ คือมีกินมีใช้ตามที่เห็น มีพ่อแม่ที่เป็นคนชั้นกลาง ข้าราชการ จนไปถึงระดับลูกคนรวย บางคนถึงขั้นฟุ่มเฟือยเลยด้วยซ้ำ การเรียนการสอนนั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็ว นักเรียนเข้าใจง่ายในสิ่งที่สอน มีสื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและสังคมแวดล้อมด้วยความเจริญก้าวหน้าและเทคโนโลยีทำให้เด็กมีความรู้ทั้งจากครูสอนและสังคมรอบข้างเป็นคนสอนไปในตัว การยกตัวอย่าง อ้างอิง ค้นคว้าและศึกษาหาความรู้นอกห้องเรียนเพื่อนำกลับมาใช้ในห้องเรียนเป็นไปด้วยความง่ายดาย การเรียนการสอนไหลลื่น วัสดุ อุปกรณ์เมื่อสั่งอะไรไปก็มีกำลังซื้อหามาใช้เรียนได้ตามปกติ ตามชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แต่ที่นี่…..สิ่งที่เจอมาทุกอย่างใช้ไม่ได้……
แรกๆ เมื่อเข้าชั้นเรียน เด็กๆ ตื่นเต้นในการเรียนวิชาศิลปะ เพราะอยากวาดภาพระบายสี ผมสั่งให้นักเรียนนำสีไม้ สีโปสเตอร์ ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัดมาเรียน ก็มีมาเรียนตามปกติ มีบางคนไม่ได้เอามาก็ใช้ของเพื่อนได้อย่างมีน้ำใจไมตรี แบ่งปันกันใช้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู หลังจากนั้นเมื่อสีไม้หมด สีโปสเตอร์หมด กระดาษหมด ถึงได้เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ เริ่มไม่มีคนเอาสีมาเรียน เริ่มไม่มีคนเอากระดาษมาวาด เริ่มไม่มีดินสอ ปากกา จนกระทั่งแทบจะไม่มีคนเอาอุปกรณ์มาวาดภาพระบายสีอีกเลย แรกๆผมก็โกรธ ทำโทษ ตัดคะแนน และว่ากล่าวในเรื่องของความรับผิดชอบในการเรียนของนักเรียน แต่แล้วมีเด็กคนหนึ่งนั่งโดนผมว่าเรื่องไม่เอาอุปกรณ์มาเรียนเป็นประจำ นั่งก้มหน้าก้มตาฟังผมว่ากล่าวอบรมเมื่อผมถามถึงอุปกรณ์ที่ไม่ได้เอามาก็บอกแต่ว่า “ลืม” “ไม่ได้เอามา” “อยู่ที่บ้าน” “ยังไมได้ซื้อ” ผมก็ยิ่งว่ากล่าวอบรมต่อไปอีกและโดนผมตัดคะแนนไป จนกระทั่ง…..ท้ายชั่วโมงผมถามเพื่อนของเค้าว่า “ทำไมเค้าเป็นแบบนั้น” คำตอบจากเพื่อนเค้าทำให้ผมหน้าชาและเสียใจมาจนทุกวันนี้ “เค้าไม่มีเงินซื้อครับครู”
ผมนี้ไม่มีความเป็นครูเลยจริงๆ เสียใจมาก ทำไมเราถึงไม่สังเกตให้ดีหรือสอบถามให้ชัดเจน ความอายของเด็ก ความกลัวของเด็ก การแก้ปัญหาของเด็กนั้นไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการไม่พูดความจริง ทำไมผมถึงคิดไม่ได้ คิดอยู่อย่างเดียวคือ “เชื่อ” ว่าเด็กคนนั้นไม่เอามาเรียน ลืมไว้บ้าน และขี้เกียจแบกขวดสี กล่องสีมาเรียน เมื่อถึงช่วงออกเยี่ยมบ้านนักเรียนในเทอม 2 ผมไปเยี่ยมบ้านนักเรียนคนนี้ ไปเห็นสภาพบ้านของเค้า ครอบครัวของเค้า ชีวิตความเป็นอยู่ของเค้าที่บ้าน ผมแทบร้องไห้โฮออกมาเลย สะเทือนใจมาก บ้านเป็นเหมือนเพิงตามคันนา มีไม้ไผ่มาผ่าซีกแปะๆเป็นผนังบ้านหลังคามุงด้วยสังกะสีเก่าๆ ใบจากและเศษไม้ต่างๆ พอกันแดดกันฝนได้ เมื่อไปถึงบ้านไม่มีผู้ใหญ่อยู่อยู่สักคน มีเพื่อนน้องประถมตัวเล็กๆ วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน 2 คน สอบถามเด็กก็รู้ว่าพ่อ แม่ไปทำงานยังไม่กลับ ผมเลยนั่งรอ ระหว่างนั่งรอเด็กเอาน้ำใส่ขันมาให้ ผมนั่งคิดอยู่ตั้งนานว่าครั้งสุดท้ายที่ดื่มน้ำจากขันแบบไม่เย็นไม่มีน้ำแข็งนี้เมื่อไร…..คงตั้งแต่สมัยอยู่กับยายที่บ้านนอกสมัยเด็กๆเท่าเค้าเลย มันยิ่งสะเทือนใจจนผมแทบจะร้องไห้ออกมาจริงๆ นี่มันกี่ปีผ่านมาแล้วไม่น่าเชื่อว่ายังคงเป็นแบบเดิมอยู่….พอเอาน้ำให้ผมเสร็จ เด็กนักเรียนก็วิ่งไปเปลี่ยนชุดเอาชุดนักเรียนออกมาแช่น้ำเตรียมซัก….คิดเอาครับว่าเพราะอะไร ผมเข้าใจในทันที แช่เสื้อผ้าเสร็จก็ มาหุงข้าวก่อเตาฟืนจากเศษไม้หุงข้าวหม้อดำปี๋เลย ในตอนนั้นภาพนั้นมันติดตาผมมากแม้ตอนนั้นผมจะพกกล้องไปด้วยแต่ไม่สามารถนำกล้องขึ้นมาถ่ายได้จริงๆ มันบอกไม่ถูกเลยว่าจะถ่ายไปทำไมเพื่ออะไรกับภาพตรงข้างหน้าที่เห็น แม้แต่ภาพบ้านของเด็กผมก็ไม่ได้ถ่ายมาด้วยมันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าจำติดตาเลย….นั่งดูเด็กเค้าหุงข้าว ซักผ้า ดูน้องเค้าวิ่งเล่นบนลานดินแดงๆ ผมนั่งอยู่แคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านนานเท่าไรจำไม่ได้เลย รู้แต่ว่าแทบไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากของผมเลย ได้แต่นั่งมองให้เวลามันผ่านไปเรื่อยๆ นั่งคิด นั่งพิจารณาตัวเอง ว่าตัวเรากำลังทำอะไร….ความสดใส ความร่าเริง ชุดนักเรียนที่ขาวสะอาด สิ่งที่เราเห็นที่โรงเรียนมันชั่งต่างกันมากมายเลยจริงๆ
หลังจากวันนั้นและอีกหลายๆวันต่อมาเมื่อได้ไปเยี่ยมบ้านครบทุกคน สิ่งที่ผมเห็น ที่ได้เจอ สิ่งที่ได้คุยกับพ่อแม่ผู้ปกครองของนักเรียนหลายๆคน ได้เปลี่ยนความคิด วิธีสอน วิธีการใช้ชีวิตและการอยู่เพื่อเป็นครูที่ดีทำประโยชน์ต่อเด็กให้มากที่สุด ทุ่มเทให้มากที่สุด มอบแต่สิ่งที่ดีให้ ต่อสู้ดิ้นรนในการแสวงหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ มาให้เด็กได้ใช้มากที่สุด เน้นกระบวนการคิดมากกว่ากระบวนการสั่งงาน เน้นสิ่งของรอบตัวมากกว่าวัตถุไกลตัว เน้นการใส่ใจในชีวิตของเด็กที่บ้านมากกว่าที่โรงเรียน เน้นการพัฒนาตนเองเพื่อการดำรงชีวิตและสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนเพื่ออนาคตมากกว่าผลการสอบวัดผลโอเน็ตบ้าบอคอแตก เน้นการลงมือปฏิบัติแล้วนำผลงานนั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงมากกว่าการนำผลงานไปโชว์ เน้นความเป็นคน ความเป็นตัวตน อิสระทางความคิดมากกว่าโดนจูงจมูก เน้นการดูมากกว่าการจำ เน้นความสนุกสนานในการเรียนมากกว่าความกลัวในการเรียน เน้นสิ่งที่นักเรียนชอบมากกว่าครูชอบ และสุดท้ายเน้นตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่นี้ บอกตัวเอง สอนตัวเองทุกวัน ว่าเรามาทำอะไร มีประโยชน์อะไร และจะทำอะไรให้มันดีขึ้นได้บ้างไม่ต้องไปสนใจใครที่ไม่ทำ บอกตัวเองว่าตัวเองทำเองเป็นพอ สุขใจเองพอ มีความสุขทุกครั้งที่เห็นเด็กนักเรียนหัวเราะ ร่างเริงในชั้นเรียนของเรา……
ครูหนุ่ม
18 ก.ค. 2556
วิชาศิลปะเพิ่มเติมสอนวาดสีน้ำมัน ระดับ ม.๕
by admin on มิ.ย..17, 2013, under ครูหมีสอนศิลปะ
จริงๆ ห้องนี้เป็นห้องเรียนเอกคอมพิวเตอร์แต่ด้วยห้องเรียรและครูผู้สอนไม่พอ เทอมนี้เลยให้เรียนศิลปะแทนเลยให้เรียนสีน้ำมันซะเลย สอนเริ่มตั้งแต่อุปกรณ์ การทำเฟรมผ้าใบ ลงสี สนุกดี ผมก็สนุกเพราะว่าไม่ได้วาดนานแล้ว
การซ่อมบำรุงเครื่อง Printer Canon mp140
by admin on พ.ค..22, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
การซ่อมเครื่อง Printer Canon mp140
เครื่อง Printer canon mp140 เป็นเครื่อง print ที่ติดแท็งค์แล้วทนที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้มา (หาซื้อไมไ่ด้แล้ว)ปกติอายุอานามเครื่อง Print จะใช้ได้ไม่เกิน 1 ปี ถ้าดูแลและใช้งานบ่อยๆ และอาจจะพังภายใน 1 เดือนแล้วยกไปซ่อมให้โดนค่าโง่ทีละ 800-1200 บาท (เหมือนเครื่อง Print Canon mp287 ที่ซื้อใช้ได้เดือนเดียวพัง) ทุกวันนี้ผมใช้มา 2 ปีกว่าแล้วยังใช้ได้ดีไม่มีเสีย ไม่มีลายเส้นขาด ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น สุดยอดมาก เท่าที่เจอปัญหาจะรวบรวมวิธีแก้ไว้ที่นี่จากท่านๆ ครูใน internet ทั้งหลายนำมาเล่าบอกต่ออีกทีครับ อ่าต่อกดเลยครับ
จะซื้อ Flash จะเลือกอย่างไงดีให้เหมาะกับเรา E-TTL?? ตาแมว( slave flash)?? ( S1 , S2 )?? Guide Number(GN)?? wireless flash triggers ? คืออะไร
by admin on เม.ย..25, 2013, under ครูหมีสอนศิลปะ
เรื่องเริ่มจากพอดีกำลังจะหาซื้อ Flash สำหรับกล้อง canon 60D มาใช้ในการถ่ายภาพเพื่อให้ภาพสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ที่นี่ก่อนจะซื้อก็ต้องศึกษาหาความรู้กันก่อนทั้งเรื่องของ รุ่น ค่าย ราคา และคุณสมบัติ ซึ่งมีอยู่มากมายหลากหลายรุ่นจริงๆ ตั้งแต่ราคา 2,000-เกือบ 20,000 บาท ฉะนั้นคงไม่ดีแน่ถ้าจะเดินเข้าไปที่หน้าร้านแล้วถามซื้อโดยที่ไม่รู้อะไรเลย อาจจะโดนฟันหัวแบะเอาได้ง่ายๆจากร้านที่ดันของแพงและเกินความจำเป็นให้กับเรา
โดยส่วนมากรุ่นของ Flash จะแตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของ Flash รุ่นนั้นๆ ซึ่งจะแพงขึ้นตามความสามารถที่ Flash รุ่นนั้นๆจะสามารถกระทำได้ และตามมาด้วย ยี่ห้อ หรือค่ายของ Flash ว่าเป็นของค่ายไหน ซึ่งถ้าเป้นค่ายหรือยี่ห้อดังๆ ก็จะแพงขึ้นไปตามลำดับ บางอย่าง บางรุ่น มีคุณสมบัติและความสามารถที่เท่ากันเลย แต่ แตกต่างกันที่ชื่อยี่ห้อหรือค่ายก็จะแพงขึ้นมากมายถึงระดับ 2-3 เท่าตัวเลยที่เดียว อันนี้ก็แล้วแต่กำลังทรัพย์ในกระเป๋าของผู้ซื้อว่าจะสามารถรับได้ที่ราคาไหน
ระหว่างกำลังเลือกซื้อนั้นก็เจอกับ รหัส หรือ code เฉพาะ คำเฉพาะต่อท้ายรุ่นของ Flash ต่างๆมากมายทำให้งง คำที่เจอแล้วเกิดความสงสัยคือ E-TTL?? ตาแมว( slave flash)?? ( S1 , S2 )?? Guide Number(GN)?? wireless flash triggers ?? คำเหล่านี้บางคำก็เป็นตัวย่อซะอ่านไม่เข้าใจ บางคำก็เป็นคำอ่านได้พอเข้าใจแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ยกตัวอย่างเช่นผมกำลังจะเลือกซื้อ Flash 1 ตัว และเค้ามีคำอธิบายไว้ว่าดังนี้
“แฟลช E-TTL สำหรับกล้อง Canon และ Nikon (โปรดเลือกทางด้านล่าง) กำลังไฟของแฟลช GN 58 ที่ ISO 100 เป็น Slave แบบ Auto TTL แบบไร้สายได้ รองรับ High Speed Sync 1/8000 และเป็น Slave Manual หรือตาแมวโดยใช้ ( S1 , S2 ) ยิงไฟแฟลชเต็มกำลัง ใช้ระยะเวลาชาร์จไฟเพียง 3 วินาที YN-568EX รุ่นใหม่ขาแฟลชเป็นขาเหล็กแข็งแรงไม่แตกหักง่าย มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ LCD พร้อมไฟส่องสว่าง แสดงรายละเอียดขนาดใหญ่ ปรับชดเชยกำลังแฟลช -5.0 ถึง +5.0 EV มีระยะช่วงซูมตั้งแต่ 24-105 mm ทั้ง Auto zoom และ Manual zoom มีระบบ Multi Flash ยิงแสงแฟลชได้มากกว่า 1 ครั้ง พร้อมไฟช่วยโฟกัสด้านหน้าตัวแฟลชและยังมีเสียงเตือนเมื่อพร้อมใช้หรือชาร์จไฟเต็มกำลัง”
อ่านครั้งแรกถึงกับงงไปเลยที่เดียวอะไรจะมากมาย คุณสมบัติเยอะแยะไปหมด แล้วอะไรมันคืออะไร แล้วที่ว่ามาทั้งหมดนี้สรุปว่าดีใช่ไหม????? ก็เลยเริ่มค้นหาความรู้จากใน internet และสอบถามกับผู้รู้โดยตรงว่าข้อมูลที่ไ้ด้รับมาถูกต้องไหม พอได้รู้และเข้าใจทุกอย่างแล้วก็เลยเสียดายความรู้นั้นๆ ถ้าจะเก็บไว้คนเดียวและเผื่อไว้ในอนาคตถ้าได้กลับไปสอนนักเรียนอีกก็จะได้ใช้บทความนี้ในการนำเสนอเลย เชิญอ่านและชมได้เลยครับ
ทำไมถึงอยากเป็นครู (บทที่ ๑ วัยเด็ก)
by admin on เม.ย..03, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
โครงเรื่องนี้ร่างไว้ตั้งแต่ วันที่ ๘ กรกฏาคม ๒๕๕๔ ( ๒ ปีที่แล้ว) ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนได้บรรจุใหม่ๆ ว่าจะเขียนลง blog ไว้ แต่พอได้เริ่มทำงานก็ยังค่อนข้างสับสนของบทบาทตัวเองและท้อแท้กับการทำงานในบทบาทนี้ในบางครั้ง แต่ !!! ณ วันนี้ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ ผมพร้อมแล้วที่จะเล่าให้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งคงจะมีราวๆ ๓ บท วัยเด็ก วัยเรียน วัยทำงาน
บทที่ ๑ วัยเด็ก
มีคนถามผมว่า “ทำไมอยากเป็นครู”
“เป็นครูเพราะเงินเดือนดีใช่ไหมล่ะ”
“เป็นครูเพราะตอนนี้เค้ารับเยอะใช่ไหมล่ะ”
“เป็นครูเพราะว่างานสบายใช่ไหมล่ะ”
อีกหลายๆสิ่งหลายอย่างที่ถูกคนรอบข้างถามมา คนที่เป็นเพื่อนสนิทก็จะรู้ว่าตัวผมนั้นตั้งใจในการเป็นครูมานานแล้ว คนที่เป็นญาติพี่น้องก็จะสนับสนุนให้ครอบครัวตัวเองได้ดีอยู่แล้ว แต่คนที่ไม่รู้ก็จะมองว่า ไอ้นี้มันอยากเป็นครูไม่ดูสารรูปตัวเองเลย หรือ มันจะเป็นครูได้ไงวะทำตัวแบบนี้ (จากภายนอกที่เห็นผม) หรือคนที่อยากรู้ว่าการที่จะเป็นคนในบทบาทของครูนั้น ควรจะคิดอย่างไร เริ่มอย่างไง หรือคนที่กำลังสับสนในความต้องการของตัวเองอ่านไปแล้วอาจจะได้ประโยชน์บ้าง (ถ้ามีคนอ่านง่ะนะ เหอๆๆ ผมจะไม่ใช่คำว่า “อาีชีพครู” เพราะว่า คำว่าอาชีพนั้นคือทำงานเพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทน แต่ บทบาทครูนั้น มันเป็น มากกว่านั้น!!!)
โรงเรียนสุขไพบูลย์วิริยะวิทยารับการประเมินภายใน (SAR)
by admin on ก.พ..27, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
โดยกระผมรับผิดชอบมาตรฐานที่๒๑ ผู้เรียนมีสุนทรีภาพและลักษณะนิสัยด้านศิลปะ ดนตรี และกีฬา
ตัวบ่งชี้ที่ ๒๑.๑ ชื่นชม ร่วมกิจกรรม และมีผลงานด้านศิลปะ
โครงการ/กิจกรรม/หลักฐาน
๑.กิจกรรมชุมนุมศิลปะ
๒.กิจกรรมการเรียนรายวิชาเพิ่มเติม (ศิลปะ)
๓.ผลงานด้านศิลปะของนักเรียนที่ได้รับรางวัลต่างๆ
๔.กิจกรรมวาดภาพประกวดแข่งขันภายในโรงเรียนตามวาระโอกาสต่างๆ
๕.กิจกรรมวันศิลปะ
๖.กิจกรรมค่ายศิลปะ
๗.โครงงานศิลปะ
๘.กิจกรรมการอบรมเพิ่มความรู้นอกสถานศึกษาของนักเรียนและครูผู้สอน
๙.แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
๑๐.งานวิจัยและเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ
แข่งทักษะวิชาการโรงเรียนในสังกัด อบจ.นครราชสีมา
by admin on ก.พ..22, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
วาดภาพได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ๒
โครงงานได้รางวัลชมเชย
เมื่อวันที่ ๒๒ ก.พ. ๒๕๕๖
ผิดหวังกับโครงการนิดหน่อยดูจากคู่แข่งแล้วน่าจะติด ๑ ใน ๓ แต่หลุดมา ๔ ๕ เลย อยากรู้จริงๆว่าพลาดอะไรไปบ้าง
ส่วนวาดภาพปีที่แล้วได้ที่ ๕ ปีนี้ขึ้นมาอันดับ๓ ถือว่าพัฒนาคุ้มค่ากับความตั้งใจ ภูมิใจตัวเอง^^
ออกค่ายอาสาโรงเรียนประโคนชัย บุรีรัมย์
by admin on ก.พ..16, 2013, under ครูหมีขี้บ่น
โรงเรียนประโคนชัยเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่การไปค่ายครั้งเลยแลดูเหมือนการไปดูงานมากกว่าออกค่ายอาสาเพราะโรงเรียนมีความพร้อมอยู่แล้ว แค่สิ่งที่ได้รับมานั้นซึ่งตอนแรกมองว่าเลือนลางเหลือเกินกลับกลายเป็นได้มุมมองดีๆเยอะเลย การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องมาจากสิ่งดีๆเสมอไป เรียนรู้จากสิ่งที่ไม่ดีก็สามารถทำได้แค่หามุมมอง ไว้โอกาสเหมาะๆจะเล่าให้ฟัง พิมพ์จากมือถือไม่สะดวกเลย…
อบรมสี Acrylic colors
by admin on ก.พ..08, 2013, under ทีมครูหมีอ้วน
อบรมการใช้สี Acrylic colors โดย บ.นานมี ร่วมกับ หจก.สิริสาส์น อินเตอร์กรุ๊บ “Silpakorn wprk shop” เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2556
รู้หน้าไม่รู้ใจ
by admin on มิ.ย..11, 2012, under ครูหมีขี้บ่น
อสรพิษนั้นมีอยู่ทั่วทุกทิศ เพียงน้อยนิดพิษนั้นแสนสุดรักษา
เมื่อสัตว์นั้นดุร้ายสุดพรรณนา ไม่ควรหาควรพบประสบเจอ
แต่สัตว์นั้นดันกลายเป็นมนุษย์ เกิดสะดุดขัดขวางสร้างปัญหา
มันจึงฉกพ่นพิษแสบกายา แล้วจ้องหาความใส่เราให้แค้นใจ
ต่อหน้านั้นทำตัวเหมือนเป็นมิตร พอมิดชิดกลายร่างเป็นสัตว์หาง
อ้างกล่าวถึงความชั่วมิตรทั่วกาล บอกเล่าขานความดีแต่ของตน
แสนสุดทนมนุษย์จิตใจสัตว์ ถนัดนักเรื่องลอบกัดเลียแข้งขา
ความนึกคิดขอเพียงให้ได้มา ความก้าวหน้าของตนไม่สนใคร……..
ครูหนุ่ม๐๑
สัตว์เมื่อรวมฝูงกันก็จะแย่งกันเป็นใหญ่ แต่และตัวก็จะพยายามโชว์ความโดดเด่นของตัวเองให้สัตว์ตัวอื่นด้อยกว่าตัวมัน เมื่อโชว์กันไปสักพักก็จะเริ่มแบ่งฝูงย่อยรวมตัวกันฆ่าตัวที่ดูอ่อนแอที่สุดหรือเข้มแข็งที่สุดก่อนเพื่อลดจำนวนคู่แข่งและสุดท้ายก็จะฆ่ากันเองเพื่อตัวเอง ตัวที่รักสงบก็จะรู้รักษาตัวรอดเพื่อใช้ชีวิตอยู่อย่างให้คุ้มค่าไม่ทะเลาะแบะแว้งกับตัวไหนจนเมื่อมันสะสมกำลังวังชาและเรียนรู้วิถีชีวิตดีแล้วมันก็จะใช้ความสามารถนั้นสร้างฝูงของตัวเองและเลือกที่จะอยู่อย่างสงบภายในฝูง สุดท้ายพวกสัตว์เหล่านั้นในฝูงเก่าก็จะค่อยๆตายและล้มเจ็บโดยไม่มีตัวไหนช่วยเหลือเลย ….อนิจจา มนุษย์นั้นก็เป็น “สัตว์”
ครูหนุ่ม๐๒
คนล้มต้องเหยียบซ้ำ คนอิจฉาจ้องทำลาย คนก้าวหน้าต้องขัดขวาง คนริษยาไร้น้ำยา คนได้หน้าคือคนเลีย คนทำงานไม่เห็นมอง คนอยู่รอดคือต้องทน…..
ครูหนุ่ม๐๓