ครูหมีขี้บ่น
ทำไมถึงอยากเป็นข้าราชการ ภาค 2 ตอน ชีวิตตอนทำงานก่อนจะมาถึงปัจจุบัน
by admin on ม.ค..08, 2011, under ครูหมีขี้บ่น
หลังจากได้เล่าถึง ระบบ ระเบียบ และความเข้าใจในการเดินสายสอบเบื้องต้นไปแล้ว ในภาค 2 นี้ ผมจะมาเล่าประสบการณ์ของผมในการสอบที่ต่างๆ เน้นว่าประสบการณ์ของผมนะครับ ทำไมต้องเน้นก็ต้องบอกว่า ผมบอกไปแล้วว่าผมใช้เวลาถึง 6 ปี แล้วยังไม่ได้บรรจุเลย เริ่มตั้งแต่อายุ 25 จนตอนนี้ 31 จะ 32 แล้ว แต่มีบางคนที่มีความสามารถได้บรรจุไปตั้งแต่สอบครั้งแรก หรือบางคนไม่ต้องสอบเลยก็ได้บรรจุตามระเบียบพิเศษของหน่วยงานนั้นๆ….(ไว้อธิบายที่หลัง) และขอแทรกชีวิตในการทำงานก่อนที่จะมาเป็นปัจจุบันและจุดเปลี่ยนแปลงในระบบความคิดว่าทำไมผมถึงอยากทำงานเป็นข้าราชการ ไว้เพื่อเล่าถึงความทรงจำของตัวเอง ก่อนที่จะลืมๆมันไป และอาจเป็นประโยชน์กับใครบ้าง
ในตอนแรกๆ นั้น ผมไม่ได้หวังจะเป็นข้าราชการมากนักเพราะว่าได้ทำงานอิสระในวงการภาพยนต์โฆษณาหรือที่เรียกว่าคนเบื้องหลัง (ฟรีแลนด์) โดยการชักชวนของพี่และคนรู้จัก ตั้งแต่สมัยกำลังศึกษาอยู่ปีสุดท้าย เป็นวงการแห่งเสียงสีแสงและความไฮโซ ได้พบปะคนระดับซุปเปอร์สตาร์และทำงานกับคนดังๆ หลายต่อหลายคน ค่าตอบแทนก็สูง(มาก) และมีความสุขกับการทำงานจริงๆ สนุก ได้ใช้วิชาความรู้เต็มที่ตามที่เรียนมา เฮฮา สนุกสนาน ปาร์ตี้ งานเลี้ยง สุรา เหล้า เบียร์ บุหรี่ และอดนอน แต่……สิ่งที่ตามมาคือไม่มีเวลาพักผ่อนเลยและเริ่มมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
เมื่อทำงานไปได้สักพักใหญ่ๆ (ราวๆ 2 ปีกว่าๆ) ผมก็เริ่มรู้สึกตัวเองว่าในเส้นทางสายนี้ถ้าไม่มีสายป่านที่ยาวมากพอและโอกาสที่ดีพอคุณก็จะดับสูญไปในที่สุด ทั้งเพื่อนฝูงและเพื่อนร่วมงานที่คุณเจอกลางกองถ่ายหรือหลังกองถ่ายก็ช่วยไม่ได้มากเพราะทุกคนคือมืออาชีพ เค้ามาทำงานเพราะคนจ้าง เค้าทำงานกับเราเพราะเราจ้าง เค้าทำงานไม่ดีเราไม่จ้าง มีคนใหม่ๆ มาพร้อมแทนคุณเสมอ เพราะเป็นวงการที่ผลตอบแทนสูงใครๆก็อยากที่จะเข้ามาแทนที่คุณ แม้กระทั่งคนพี่ที่สนิทเมื่อเค้ามีงานบางครั้งเค้าก็ไม่จ้างเราเพราะว่าบางงานไม่เหมาะกับเราเหมาะกับอีกคนมากกว่า เราก็ไม่ได้งาน ไม่ได้เงิน และเค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะ คนจ้างเค้าไม่เลือกเรา เช่น งานของค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ตอนนั้นถึงผมจะเป็นคนสนิทที่สุดของ พี่ผู้กำกับรู้ใจที่สุด ดูแลได้หมดทุกอย่างแม้กระทั่งเงินระดับเป็นล้านๆ แต่ค่ายเพลงนั้นก็ไม่จ้างผมเพราะว่า เค้าจ้างแค่ ผู้กำกับคนเดียว ผู้ช่วยไม่ต้องการ เค้ามีคนของเค้าแล้ว แบบนี้เป็นต้น ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ว่างงานของผมพอดี ผมมีเวลานั่งทำงานอยู่ ออฟฟิต เพื่อเตรียมงานในครั้งหน้าต่อๆไปและการทำงานนั้นก็คืองานของค่ายเพลงนั้นอยู่ดี เมื่อมีเวลามากพอผมจึงเริ่มคิดได้ถึง ทางเดินชีวิตในการทำงานของผมในภายภาคหน้า…….มีต่อครับ
การสอบบรรจุเป็นข้าราชการ…ง่าย หรือ ยาก?? ทำไมถึงอยากเป็น??
by admin on ธ.ค..21, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
การสอบบรรจุเป็นข้าราชการ…ง่าย หรือ ยาก?? ทำไมถึงอยากเป็น??
เมื่อสักสอง สามวันที่แล้วผมได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนสมัยเรียนด้วยกันที่สวนดุสิต ใน facebook หลังจากไม่ได้คุย(เป็นเรื่องเป็นราว)กันมานาน พอดีผมคุยกับรุ่นน้องอีกคนอยู่เรื่องสอบติด เค้าก็เลยมาถามว่า “สอบอะไรติด” “สอบราชการติดว่ะ” ผมตอบไปอย่างงั้น เพื่อนคนนี้ก็เลยถามกลับมาว่า “มันสอบกันอย่างไงว่ะ ยากไหม มีเมื่อไรบอกด้วยนะจะไปลองมั่ง” … จากคำถามนี้ สำหรับคนทั่วไป อาจจะตอบแค่ว่า “อืม มีเดี๋ยวบอก” แล้วก็จบ….แต่ถ้าจะให้อธิบายจริงๆ มันยาวมากครับ เลยถือโอกาสนี้มาเล่าเลยละกันว่าเส้นทางการสอบแข่งขันบรรจุเข้ารับราชการนั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง…
ก่อนจะเริ่มเล่า คงต้องเล่าถึงตัวเองก่อนว่า มีความรู้ประสบการณ์อะไรถึงสามารถมาเล่าให้ท่านๆ ฟังกันได้ อันตัวกระผมนั้น ณ ปัจจุบันยังคงเป็น ลูกจ้างอยู่หน่วยงานราชการอยู่ ซึ่งต้องขอบอกจากใจเลยว่า ผมรักที่นี้มาก ที่นี่สอนอะไรกับผมมากจริงๆและคงสอนผมไปตลอดทั้งชีวิต แต่!! ด้วยกิเรสในตัวผมที่สร้างหนี้สินไว้มากมายและยังคงต้องการสร้างหนี้สินต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตและชำระหนี้ได้ด้วยลำพังเงินเดือนของลูกจ้างได้ หรือมีเงินเก็บที่แน่นอนยามฉุกเฉินได้เลย “ถ้ามีคนล้างหนี้ให้และมีสัญญาว่าจะจ้างผมเป็นลูกจ้างที่นี่ไปตลอดชีวิต ผมไม่ไปไหนจริงๆครับ ผมสาบาน”….
“แล้วเล่าทำไมฟ่ะ” คงมีคนหมั่นไส้อยู่บ้าง “ตูลำบากกว่าเอ็งอีก มาเล่าทำไม” ที่เล่าให้ฟังเพื่อเกรินเรื่อง เข้าสู่หัวใจของการตั้งใจสอบแข่งขันบรรจุเป็นข้าราชการ ก็เพื่อ!! ความมั่นคงทั้งในปัจจุบันและอนาคต เป็นการวางแผนระยะยาวมากๆ ถึงขนาดอายุ หกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบปีโน่นเลย (ถ้าอยู่ถึงก็จะดีมาก) ข้าราชการนั้น มีเงินเดือนที่มั่นคง และมีอัตราการขึ้นเงินเดือนที่สม่ำเสมอ มีสวัสดิการที่แสนจะมากมาย มีหลักประกันในการสร้างเครดิตรูปแบบต่างๆ มีหน่วยงานและองค์กรต่างๆให้ความเชื่อถือและเสนอบริการพิเศษอยู่บ่อยครั้ง มีโบนัสเหมือนบริษัท(เป็นบางที่) มีลูกน้องที่คอยทำงานแทน (ลูกจ้างแบบผมนี้ล่ะ) มีสิทธิพิเศษในการเบิกค่ารักษาพยาบาลที่สุดยอด และเมื่อทำงานครบ ยี่สิบห้าปี จนเกษียณอายุราชการ ก็ยังคงได้เงินเดือนไว้เลี้ยงตัวเองและลูกหลานยามแก่เถ้า….. มีต่อครับ
แบบฝึกวิชา คอมพิวเตอร์กราฟิก 2 นักศึกษาระดับชั้น ปวช. 2 กลุ่ม 3 ภาคเรียนที่ 2/2553
by admin on พ.ย..22, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
งานชื้นที่ 1 ออกแบบสมุดบันทึกพร้อมทำรูปเล่ม
งานชื้นที่ 2 ออกแบบตัวหนังสือแล้วคัดลอกลงบนคอมพิวเตอร์ ด้วย Adobe Illustrator
งานชิ้นที่ 3 รายงานเรื่องโปรแกรม Adobe Illustrator
งานชิ้นที่ 4 ออกแบบ โลโก้ ธนารักษ์แล้วคัดลอกลงบนคอมพิวเตอร์ ด้วย Adobe Illustrator
งานชิ้นที่ 5 คัดลอกตราประจำจังหวัดต่างๆตามที่ได้รับมอบหมายลงบนคอมพิวเตอร์ ด้วย Adobe Illustrator
งานชิ้นที่ 6 วาดภาพบุคคลพร้อมลงสี (ดาราเลือกแบบอิสระ) ด้วย Adobe Illustrator
งานชิ้นที่ 7 วาดภาพบุคคลขาวดำ (กำหนดต้นแบบให้) ด้วย Adobe Illustrator
งานชิ้นที่ 8 วาดภาพบุคคลครึ่งตัว (ถ่ายภาพให้จำนวน 10 ภาพแล้วคัดเลือกตามใจชอบ) ด้วย Adobe Illustrator
งานชิ้นที่ 9 กระบวนการ Design ตัวการ์ตูน ด้วย Adobe Illustrator
งานชิ้นที่ 10 ผลิตการ์ตูน 9 ช่อง ด้วย Adobe Illustrator
งานสอบปลายภาค วาดภาพใบหน้าตนเอง (ถ่ายภาพด้วยตนเอง) ด้วย Adobe Illustrator
การเก็บคะแนน
คะแนนระหว่างภาค 60 คะแนน
จิตพิสัย 20 คะแนน (ตรงต่อเวลา/การแต่งกาย/รักษาความสะอาด/ซื่อสัตย์/มีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงาน)
สอบปลายภาค 20 คะแนน **อาจารย์บอกผิดว่า 30 นะครับแก้เป็น 20 คะแนนโดยใช้จากคะแนนที่ได้มาจาก 30 คะแนนเป็นฐานแล้วแก้เป้นคะแนนเต็ม 20 คะแนน
คะแนนอย่างไม่เป็นทางการ
งานชื้นที่ 1 การสร้างรูปทรงต่างๆ
by admin on พ.ย..22, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
งานชื้นที่ 1 การสร้างรูปทรงต่างๆ
บทที่ 1 อุปกรณ์ประเภทต่างๆของกล้องถ่ายภาพ
by admin on พ.ย..22, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
บทที่ 1 อุปกรณ์ประเภทต่างๆของกล้องถ่ายภาพ
Room39 กลุ่มดนตรีไทยใน LA
by admin on ต.ค..12, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
Room39 เกิดขึ้นจากการพูดคุยของคนสองคนเกี่ยวกับการทำวีดีโอขำๆเล่นๆเอาไปลงยูทุ้บ บทสนทนาเกิดประมาณเวลา 11 น. ว่าไว้คร่าวๆดังนี้
………………กริ๊งงงง กริ๊งงงง
นายแว่นใหญ่ :”โหลๆ เห้ยๆ ผมอยากจะถามเรื่องทำวีดีโออ่ะ คืออยากให้เสียงมันชัดๆเป้งๆ มันต้องทำไงมั่งอ่ะ”
นายโอแป๊ก :”อ๋อ ไม่ยากหรอกเราก็อัดไปพร้อมๆกันแต่แค่แยกเสียงกะภาพไว้ แล้วค่อยไปตกแต่งทีหลัง”
นายแว่นใหญ่ :”เออๆดีๆแต่ว่าจะไปทำที่ร้านไม่รู้ต้องใช้ไรมั่ง”นายโอแป๊ก :”เห้ยไม่เยอะ เอางี้เดี๋ยวมานี่ดิ่ มาอัดที่บ้านเราก็ได้”
…………. 45 นาทีให้หลัง รูมเตอร์ตี้ไนน์ก็ได้เกิดขึ้น ณ อพาร์ทเม้นเล็กๆแห่งหนึ่ง ในย่านชุมชนเกาหลี
ศิลปินเบื้องต้น มีดังนี้: ทอม มน และ แว่นใหญ่
Room39 เป็นห้องที่ใช้ทำงานกัน ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรมาก เป็นอพาร์ทเม้น หนึ่งห้องนอนธรรมดา มีเครื่องดนตรีนิดหน่อย แล้วให้นักร้องนักดนตรีมานั่งเล่นกัน ใช้กล้องถ่ายรูปธรรมดาสองตัวถ่ายวีดีโอพร้อมกัน แล้วก็อัดเสียงลงใน pro tools และตัดต่อใน avid โดยความอ่อนทางทักษะและปัญญาของเจ้าของห้อง
www.youtube.com/thaiboxer4kickurass
ผลงานของพวกเค้าลองฟังดูครับ
Room39 เชื่อว่าดนตรีไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ที่ห้องอัด และขึ้นอยู่กับการตลาดในการที่จะเข้าถึงสู่ผู้ฟัง ดนตรีขึ้นอยู่กับอารมณ์และทักษะของศิลปิน “ณ เวลานั้น” ที่แสดงมันออกมา เก็บบันทึกให้ดูสวยงาม แล้วจึงแพร่สู่ผู้ฟังให้ง่ายๆ เทคโนโลยีสมัยใหม่จึงมีผลอย่างยิ่งกับงานดนตรีทุกวันนี้
พวงหรีด…..มันคืออะไรเน้อ…..
by admin on ต.ค..12, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
พวงหรีด?? จริงๆ แล้วใครรู้มั่งว่ามันคืออะไร ทำไมต้องเป็น พวงหรีด แล้วทำไมต้องเรียกว่า พวงหรีด ทำไมต้องไว้ในงานศพ ทำไมต้องซื้อให้ ทำไมต้องให้ ให้แล้วมันเป็นอย่างไง
นี่คือคำถาม เมื่อผมไปงานศพของคุณแม่เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทและผมเคารพคุณแม่ของเค้า และผมเสียใจกับการจากไปครั้งนี้แบบสุดหัวใจจริงๆ ต้องขอเล่าเรื่องย้อนไปก่อนหน้านี้หน่อย คือผมรู้จักกับคุณแม่ของน้องเค้ามาก่อนที่จะรู้จักน้องเค้าซะอีก และมาสนิทกันตอนที่มาทำงานที่เดียวกันกับเดินทางไปสอบด้วยกันบ๋อยๆ เมื่อคุณแม่ เค้าเสียไปผมก็เต็มใจช่วยเหลือน้องเค้าแบบเต็มที่ ก่อนอื่นผมขอเล่าถึงความหมายของพวงหรีดและหน้าที่ของมันก่อน
พวงหรีด (wreath) หมายถึง เมื่อคนเราตายบรรดาญาติมิตรพี่น้องก็จะนำพวงหรีดมาวางไว้ เพื่อแสดงความอาลัย และความระลึกถึง ซึ่งประเพณีนี้ สืบทอดมาจากยุโรปเหนือเมื่อนานมาแล้ว ความเชื่อนี้คือ ทูตสวรรค์จะมานำวิญญาณของคนที่เสียชีวิตไป และการให้พวงหรีด ก็ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อทูตสวรรค์เหล่านี้ จะเห็นว่าการวางพวงหรีดเป็นประเพณีของชาติตะวันตก แม้แต่คำว่า “หรีด” ก็เป็นคำทับศัพท์ ภาษาอังกฤษ คือ Wreath (รีธ) แปลว่า n. พวงหรีด,พวงมาลัย,มาลัย,สิ่งที่ร้อยเป็นวง vt.,vi. ร้อย(พวงมาลัย,ดอกไม้) พันรอบ,ม้วน,โอบ,โอบล้อม,ล้อมรอบ,ปิด,หมุน,ทำให้งอ,หมุนเป็นวง แต่สำหรับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ได้รับเอาประเพณีดังกล่าวมา แต่ต่างวัตถุประสงค์ คือ การส่งพวงหรีดวางในงานศพ เพื่อเป็นการแสดงออกถึง คำว่า “ขอแสดงความเสียใจ” ต่อเจ้าภาพ หรือญาติมิตรพี่น้องของผู้เสียชีวิต รวมทั้งเป็นการแสดงด้วยว่า ตนเอง ครอบครัว หรือองค์กร ได้มาคารวะผู้เสียชีวิตแล้ว โดยมักจารึกชื่อของ ตนเอง ครอบครัว หรือองค์กร ติดไปกับพวงหรีดด้วย ในมุมมองของนักวิชาการสิ่งแวดล้อม พวงหรีด ซึ่งได้ถูก จัดทำ ตกแต่ง อย่างสวยงาม ได้มอบ ต่อ ญาติมิตรพื่น้องผู้เสียชีวิต ก็จะถูกวางในสถานที่จัดงานศพของผู้เสียชีวิตตามความเหมาะสม อย่างเป็นระเบียบและส่วยงาม และเมื่อมีการนำศพผู้เสียชีวิตไปทำพิธีฌาปนกิจ หรือเตรียมเผาศพ ก็มักจะนำพวงหรีดตกแต่ง หรือเข้าขบวนพิธีด้วย
ที่มา / http://www.gwwn.net/bb/data/00037-2-1.html
มีต่อ…
Artist คือ…?
by admin on ต.ค..01, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
คือ ศิลปิน
Artist คือ…? ในพจณานุกรม
ได้กล่าวไว้ว่า คำคำนี้มันแปลได้ก็คือ ผู้มีฝีมือหรือทักษะ จิตรกร นักเขียนหรืออะไรพวกนั้น
Artist คือ…? สำหรับคนไม่ art
Artist คือ…? สำหรับโปรแกรมแปลภาษา [English Translator]คือ คนที่เจ้าเล่ห์
Artist คือ…? สำหรับบุคคลทั่วไป
คือ… สิ่งๆหนึ่ง ที่ขีด เขียน หรือ สร้างสรรค์ และแสดงออกความคิดของตัว ผ่านสื่อ ต่างๆ ได้
Artist คือ…? สำหรับศิลปินคนที่ 1
ไม่ใช่คนรวยมีเงิน หรือ นักออกแบบ หรือ ช่างภาพอิสระ คำคำนี้กำหนดมาเพื่อใช้สำหรับคนที่เก่งในด้านต่างๆ และมีจุดยืนมีความมั่นใจในตัวเองสูง กล้าที่จะเงยหน้ารับคำด่าของคนอื่นโดยที่ไม่กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง หรือสิ่งที่ทำไปจะได้อะไรตอบแทนขอให้แค่ได้ทำเท่านั้น ไม่สนว่าพรุ่งนี้กูจะแดกอะไร มันก็เหมือนกับ เพลงใต้ดิน ที่ร้องกันไม่รู้เรื่องนั่แหละ แล้วเค้าก็พอใจกับสิ่งที่เค้าทำ เค้าอาจจะมีแฟนเพลงของเค้าอยู่ไม่กี่สิบคนแต่เค้าก็มีความสุข
Artist คือ…? สำหรับศิลปินคนที่ 2
คือ ผู้ เลือกที่จะถ่ายภาพด้วยความรัก และหลงไหลในการทำงานมากกว่าเงินอีกอย่างที่สำคัญสำหรับพี่ท่านนี้ ได้ให้ความหมายที่แคบอย่างลงตัวของคำว่่า ช่างภาพ คือ แค่รับจ้างงานทุกอย่างและเค้าเลือกเรียกตัวเองว่า artist ไม่ใช่ช่างภาพสำคัญคือ เราต้องถ่ายรูปด้วยความรักเพราะ เรารักที่จะถ่ายรูป (บาดจิต)
Artist ต่างคนต่างความคิด ก็แปลกันไปกระทั่งคนถ่ายภาพ ก็ยังให้ความหมายไม่เหมือนกันแต่ก็ถือว่าใกล้เคียง อย่างลงตัว อิอิ
สรุป artist สำหรับฉัน คือ
ผู้ที่มีแนวคิดเป็นของตัวเองในหารทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะภาพถ่าย งานศิลปะ หรือ ผลผลิตที่คุณพึ่งสร้างเสร็จมะกี้ จะออกมาสวยหรูหรืออุบาดแค่ไหน ใครจะติว่าเป็นเหมือนขยะรกโลก หรือจะชมว่าอลังการงานสร้างก็ไม่สนใจ ขอแค่ได้ทำในสิ่งที่รักและชอบ มีความสุขกับมัน แค่นั้น
แล้ว Artist ในหยักสมองของคุณละ คือ…?
เขียนโดย N”ⓟⓡⓐⓦ✿ http://hanajangpraw.blogspot.com/2009/05/artis.html
ขออนุญาตนำบทความมาเผยแพร่ให้ท่านอื่นๆได้อ่านครับ ขอขอบพระคุณมากครับ
ปิดเทมอแล้ว จะมีการสอนพิเศษเรื่อง “กระบวนการคิด”
by admin on ก.ย..29, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
ถ้ามีนักศึกษาคนไหนสนใจก็มาเรียนได้ครับ (คนเดียวก็สอน)
วันที่ 4-8 ตุลาคม 2553
ทั้งหมด 5 วัน เวลา 9.00-12.00 และนำงานกลับไปฝึกต่อที่บ้านหรือ ทำที่คณะก็ได้
โดยมีเนื้อหาดั่งนี้
วันที่ 4 ต.ค. 53
1. การคิดวิจารณญาณ
วันที่ 5 ต.ค. 53
2. การคิดสร้างสรรค์
วันที่ 6 ต.ค. 53
3. การคิดตัดสินใจ
วันที่ 7 ต.ค. 53
4. การคิดแก้ปัญหา
วันที่ 8 ต.ค. 53
แบบทดสอบ
จบหลักสูตรพัฒนาความคิดครับ
เหลาดินสอนั้นสำคัญไฉน…..
by admin on ก.ย..05, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
พอดีวันนี้ได้รับ forward mail จากน้องที่ทำงานเก่า เห็น idea แล้วเลยเอามาเล่าต่อให้ฟัง ลองดูละกันครับว่าคนทำเค้าคิดไรอยู่ ขำๆ ถ่ายรูปก็สวย
วันนี้…คุณตั้งเป้าหมายในชีวิต…หรือยัง…?
by admin on ส.ค..12, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
ข้อคิด… ที่นำไปสู่ความสำเร็จ…
หนังสือดีเพียงเล่มเดียว….
สามารถเปลียนชีวิตคนได้….
ความคิดดีๆ…เพียงความคิดเดียว…
สามารถสร้างแรงบันดาลใจ
ให้เด็กวัด..กำพร้า…อดอยากยากจนขนาดต้องแย่งหมากิน…
ทะยานสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้….
เรา…ไม่สามารถรู้ได้ว่า…เราจะบินได้สูงแค่ไหน…
จนกว่าเราจะ…กางปีก…แล้วบิน…
**ไม่จำเป็นต้องบินสูงอย่างใครเขา ขอให้บินเท่าที่ได้อย่างใจฝัน
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ขอให้เป็นตัวของฉันเท่านั้นพอ***
ตราบใดที่คุณยังไม่ลงมือทำ…
อย่าเชื่อว่าคุณทำไม่ได้…
ความมหัศจรรย์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้…
เริ่มต้นมาจากฝันกลางวันของคนบางคนนี้แหละ…
จากประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทุกคน…
มีหัวใจของความสำเร็จเหมือนกัน 2 ประการคือ….
1.เขา…ชนะใจตนเอง….
2.เขา…ให้ความสำคัญเรื่องวินัย…เป็นอันดับหนึ่ง….
REGGAE on The Rock 2 ณ ชะอำ ผมไปแล้วมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง…ภาค 2
by admin on ส.ค..03, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
ภาพบรรยากาศตอนเช้า ออกมานั่งรับลมทะเลและมีเรือพายมาขายกาแฟจากบริการของที่พักมี internet ให้นั่งเล่นสบายๆ
หลังจากที่ผ่านคืนนั้นมา พอตื่นมาตอนเช้าผมก็รีบลุกขึ้นมาดูข่าวและ เช็คข่าวสารทันที่เลย มีข่าวออกแทบทุกช่อง มีคนโทรมาหาทั้งบอกว่า เห็นเราในทีวีและเรื่องคนตีกัน สรุปคือคืนนั้นมีคน ตาย 1 ศพและเจ็บ 100 กว่า ส่วนมากก็แผลแตก ฉีก และรถชนกันมากมาย ก็น่าจะเป็นงั้นอยู่แล้ว ทั้งเมาและตีกัน นั่งเช็กข้อมูลข้าวสารไปเรื่อยๆ ก็เวลาราวๆ 9.00 ก็เริ่มเดินทางกลับ จริงๆ เรียกว่าไปเที่ยวต่อจะดีกว่า ก็กางแผนที่และขับรถเลาะกลับไปที่งานอีก 1 รอบตั้งใจจะไปเพลินวานที่หัวหิน ห่างไปราวๆ 40 กิโล แต่จะแวะหาข้าวเช้าทานที่หาดชะอำ ก็ขับรถไปจนถึงเริ่มมีคนทยอยกันกลับแล้วส่วนมากเป็นกลุ่มมอเตอร์ไซต์ รถแทบไม่มีเลยน้อยมาก น่าแปลกใจจริงๆ ปกติ งานระดับนี้วันรุ่งขึ้นนี้ยังคงมีคนเยอะอยู่เลย นี้แสดงว่าเมื่อคืนนี้มันตีกันจนวุ่นวายมากๆ เลยต้องรีบกลับตั้งแต่เมื่อคืน ดูสภาพแล้วเละไปหมดเลย ทั้งขยะและสถานที่ งานนี้เทศบาลชะอำรับไปเต็มๆ เห็นคนงานทำความสะอาดของเทศบาลชะอำมากันร่วมร้อยคน ใส่เสื้อส้มเต็มไปหมด เหนื่อยครับ สังเกตุเห็นคนปั่นจักรยานไปมามี รอยเย็บบ้าง หัวแตกบ้างอยู่ 4-5 คน
REGGAE on The Rock 2 ณ ชะอำ ผมไปแล้วมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง…ภาค 1
by admin on ส.ค..02, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
คอนเสริต์ REGGAE on The Rock 2 ณ หาดชะอำเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 53 ที่ผ่านมา ผมก็ได้ไปที่คอนเสริต์ จริงๆ ก็ไม่ได้รู้อะไรกับเค้าเท่าไรเพราะว่าทางเพื่อนๆของแฟนเค้านัดกันจะไปผมเลยติดสอยห้อยตามไปด้วย ก็วางแผนกันมานานเกือบเดือน กว่าจะได้ที่พัก คอนเสริต์มีที่ชะอำแต่หาที่พักใกล้สุดได้แค่ที่ หาดเจ้าสำราญ ห่างออกมาราวๆ 28 กิโล ที่ คุ้งกระพงรีสอร์ท บรรยากาศก็โอเคเลยครับกับราคาที่ไม่แพงมาก 800 บาทต่อห้อง 4 คนเท่านั้น เป็นบ้านล้อมด้วยทะเลสาบน้ำกร่อย เลี้ยงปลาทะเลไว้ วิวดีเลย ห้องสะอาด Design ดี บ้านทุกหลังมีระเบียงหน้าบ้าน แล้วก็เปิดประตูออกมาเจอทะเลสาบเลย มี internet ให้เล่นฟรี !!!! ชอบมากเลย พอได้ที่พักแล้วก็เตรียมตัวไป ออกเดินทางเช้าวันเสาร์ที่ 31 นั้นเลยล่ะ ขับรถสบายๆ ไปเรื่อยๆ ไปถึงที่พักอย่างสบายๆ บ่าย 2 กว่าๆ นอนเล่นอาบน้ำปะแป้ง จน 16.00 ก็ขับรถไปที่หาดชะอำจากเส้นทางเลาะชายทะเล ไม่มีรถเลยครับ แผนที่ช่วยผมได้เยอะเลย ไม่ต้องไปแย่งกันเข้ามาจากทางหลัก
การจัด เรตภาพยนตร์ (Film Ratings)
by admin on ก.ค..24, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
พอดีวันนี้ไปค้นรายชื่อหนังออกใหม่เพื่อหาหนังใหม่ๆดู เมื่อคืนดู สาระแนสิบล้อไป กับ The Sorcerer’s Apprentice ไปเมื่อตอนบ่ายๆ ก็ไปสังเกตุ เห็นเรตภาพยนตร์ หรือ Film Ratings ว่า ระหว่างของประเทศไทย กับของต่างประเทศ (สากล) เราใช้ไม่เหมือนกัน ทั้งการแบ่งประเภท รูปแบบการแบ่ง และสัญลักษณ์ไม่เหมือนกัน พอดูของ สากลแล้วก็มาดูของไทยก็งงๆ นิดหน่อยว่าระดับเดียวกันไหมและหมายความว่าอย่างไร ก็เลยถือโอกาสนำมาลงไว้ที่นี่เลยเผื่อตัวเองและคนอื่นเข้ามาดูเปรียบเทียบบ้าง
การจัด เรตของภาพยนตร์ (Film Ratings) เป็นการจัดระดับตามตามเนื้อหาและฉากของ ภาพยนตร์ จุดประสงค์เพื่อกำหนดความเหมาะสม ของการเข้าชมภาพยนตร์สำหรับ เด็กและเยาวชน แต่ละประเทศมีลักษณะมาตรฐานวิธีจัดแบ่งแตกต่างกันไป ในปัจจุบัน ที่เป็นสากลและได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ มาตรฐานของสหรัฐอเมริกาและของประเทศไทยเราจัดเรตภาพยนตร์ (Film Ratings) โดยกระทรวงวัฒนธรรรม ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบ กฎกระทรวงประกอบพระราชบัญญัติ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 ใน ส่วนการจัดเรตติ้งภาพยนตร์ออกเป็น 7 ประเภท โดยกระทรวงวัฒนธรรมจะจัดทำสัญลักษณ์ไว้ 6 สัญลักษณ์ (คือ เรต 1- เรต 6) ดังนี้
ทุกวันมีสิ่งใหม่ๆเสมอถ้าเหลียวมองมันสักหน่อย..
by admin on ก.ค..14, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
ยุคนี้เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีจริงๆ ถึงแม้คุณจะอยู่ในอาชีพอะไร วงการอะไร เรียนอะไร เหลือแม้แต่ยากดีมีจนอย่างไงก็ตาม คุณก็ต้องตามเทคโนโลยีให้ทัน
ในสมัยจบมาใหม่ๆ แรกๆ ผมก็เริ่มทำงานเลยด้วยความที่กำลังใจแรง จริงๆก็เรียกว่าทำงานมาตั้งแต่ระหว่างเรียนแล้วล่ะ แต่ที่เรียกว่าทำงานแลกเงินจริงๆ ต้องหลังจากจบ ระหว่างเรียนผมไม่เคยเข้าใจเลยว่า ศิลปะ คืออะไร นอกจาก ความหมายที่มีให้อ่าน จำ หรือว่าพูดๆตามเค้ามา ผมมาเข้าใจจริงๆก็หลังจบมานานพอสมควรและเข้าใจกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงไม่สิ้นสุด สมัยเรียนผมทั้งวาด อ่าน เขียน ถ่ายภาพ ประดิษฐ ปั้น สร้างและรื้อ เพระว่าผมเรียนจิตรกรรมมา จนมาถึงระดับ ปวส ถึงมองทางของตัวเองออก ว่าอยากทำงานทางด้านการ Design เลยไปต่อนิเทศศิลป์ ในช่วงที่ไปเรียนตอนแรกๆ ผมยังจำได้แม่นเลย คือผมเป็นเด็ก ต่างจังหวัดเข้าไปเรียนเมืองกรุง แถมเข้าไปในระดับ 2 ปีหลังอีกตั้งหาก ผลงานผมช่วงแรกๆ ผมใช้วิธีการแบบจิตรกรรม คือ วาดเอง ลงสีเอง และเมื่อไปส่งในชั่วโมงเรียนนั้น ก็กลายเป็นว่าผมคือ แกะดำของห้อง เพราะว่าอะไรหรือครับ ก็เพระว่า คนอื่นๆ นั้น เค้าใช้คอมพิวเตอร์ทำมาส่งกันทั้งนั้นเลย (งานชิ้นแรกที่ส่งคือ การทำ artwork ของตัวหนังสือ) พอตอนส่งอาจารย์มีคนหัวเราะงานของผมด้วยซ้ำ และยิ่งกว่านั้นคือ แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็มองงานของผมด้วยสายตาแปลกๆ แล้วพูดมาว่า “สมัยนี้เค้าใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบกันแล้วเนอะ” ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะไม่ใช่ผมคนเดียวที่ส่งงานแบบวาดมา มีคนอื่นอีก 5-6 คนจากเด็กเกือบ 50 คน แต่คนอื่นๆก็ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์มาส่งทั้งนั้น วันรุ่งขึ้นผมตัดสินใจของเงินแม่ ซื้อคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ซึ่งในตอนนั้นราคามันแพงมากๆ แพงระดับซื้อมอเตอร์ไซค์ได้ 2 คันเลยที่เดียว (เกือบๆ 60,000 บาท) ไม่รู้ว่าแม่หาเงินมาได้อย่างไร ทั้งๆที่มอเตอร์ไซค์ที่บ้านยังไม่มีสักคันเลยด้วยซ้ำ รถเก๋งก็ไม่มี เงินเดือนก็แค่ หมื่นหน่อยๆ ไหนจะค่าใช้จ่ายผมอีกอาทิตย์ละหลายพันเลยที่เดียว ต่ำๆก็ 2000-3000 บาท มาคิดถึงตอนนั้นแล้ว (10 ปีที่ผ่านมา) ผมใช้เงินของแม่ไปมากมายมหาศาลเลยจริงๆ จนทุกวันนี้ผมอายุ 30 แม่ผม 63 เข้าไปแล้วผมยังใช้คืนแม่ไม่หมดเลยมีแต่จะใช้เพิ่ม
แล้วมันเกี่ยวไรด้วยละเล่ามาซะยาว ก็ตั้งแต่ผมได้คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมา ใช้ก็ไม่เป็น เรียนก็ไม่เคยเรียน การเรียนระบบมหาลัยเค้าไม่สอนการใช้งานคอมพิวเตอร์กันนะครับใครเรียนคงรู้ เค้าจะสอนกันเรื่องความคิด การสร้างสรรค์ และการทำงานที่ถูกต้อง ตามระบบของสายวิชาที่เราเรียนเท่านั้น ไม่มีมาบอกว่า เครื่องมือนี้ทำไร จะทำอย่างนี้ทำไง อย่างโน่นทำไง เค้าจะมาพูดเรื่องแนวความคิดและการสร้างแรงบันดาลใจ ขั้นตอนและวิธีการสร้างงานเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่า เมื่อเรามีปัญหาในการทำงานแล้วเราจะไปปรึกษาไม่ได้ ปรึกษาได้ครับเพียงแต่ไม่ใช่ไปทำถามว่าทำอย่างไง ถามในสิ่งที่เราทำแล้วสงสัย ถามในสิ่งที่เราไม่เข้าใจเวลาทำงาน หรือแม้กระทั่งถามว่างานที่ทำอยู่ดีหรือไม่ดี แล้วเราก็จะได้คำตอบที่ดีมาทำงานต่อถึงแม้ว่ามันจะมาในรูปแบบใดก็ตาม และด้วยสิ่งที่เจอมากับเพื่อนๆรอบข้างมันทำให้ผมมีแรงกระตุ้นในการแข่งขันกับเค้าและก้าวขึ้นมายืนได้ในระดับที่เท่าเทียมกัน วัดจากคะแนนที่ได้จากผลงาน ถึงแม้ใครจะบอกว่า คะแนนระหว่างเรียนนั้นมันใช้ไม่ได้กับชีวิตตอนทำงาน แต่ผมก็คิดต่างไปจากเค้าที่ว่า นี่ล่ะคือการประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานแบบจำลองระหว่างเรียน ผมถือว่าผมทำสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้แล้ว
หลังจากได้ลองหัดทำและเรียนรู้การใช้งานของมันจนเข้าใจในระดับหนึ่ง ผมก็เริ่มสร้างสรรค์งานจากคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์สมัยนั้น ระบบ internet ยังไม่ค่อยแพร่หลายมากนัก (ยุค windows 98) กล้องดิจิตอลก็ยังไม่มี ในการสร้างสรรค์งานแต่ละครั้งของยุดนั้น จึงเป็นการสร้างสรรค์งานอย่างแท้จริง คือเราต้องการอะไรก็หามาใส่ในคอมพิวเตอร์เราโดยตรง เช่น ตรงการรูป แก้วน้ำใส่น้ำสีแดงกับแก้วน้ำใส้น้ำสีเขียววางอยู่คู่กัน เราก็ต้องถ่ายรูปล้างฟิลม์นำไปสแกนเข้าคอมพิวเตอร์และค่อยออกแบบตบแต่งงานอีกที งานจะสวยไม่สวยอยู่ที่ว่าเราถ่ายภาพมาได้ดีหรือเปล่า การมาตบแต่งในคอมพิวเตอร์นั้นเป็นส่วนเล็กน้อยแค่นั้นเอง เช่น ใส่ตัวหนังสือ ใส่โลโก้ ตัดส่วนเกินแค่นั้นเอง งานที่ออกมาแต่ละชิ้นเลยมีชีวิตชีวาและเป็นงานต้นแบบอย่างแท้จริงเพราะว่าไม่มีซ้ำใครแน่นอน เปรียบเหมือนงานศิลปะชิ้นนึงเลยที่เดียว ระบบการทำงานสอนให้เรารู้จักวางแผนการทำงาน การ Design ในกระดาษก่อนจะลงมือทำงานจริงหลายๆแบบเพื่อ หาสิ่งที่ดีที่สุด หรือที่เรียกว่า Idea sketch นั้นเอง เพราะว่าอะไรรึครับ เพราะว่างการลงมือทำงานจริงนั้นมันมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งต้นแบบที่จะถ่าย ทั้งฟิลม์ทั้งล้างทั้งอัด ค่าไฟ จะมีไม่เสียเงินคือ Idea ของเรานั้นเอง งานในยุคนั้นๆ จึงออกมาดีมากๆ ดูได้จากการ Design ของสื่อต่างๆในสมัยนั้น
และเมื่อใช้งานจนคล่อง ผมก็หลงระเริงไปกับความเป็นเซียน CG เพราะมั่นใจว่าตัวเองสามารถใช้งาน ทำงานได้ทุกอย่างทุกโปรแกรม และเก่งกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ จนจบการศึกษามาด้วยความมั่นใจ และเริ่มไปทำงานจริงๆ ในช่วงของการทำงานเบื้องหลัง ผมได้พบเจอกับรุ่นพี่หลายๆท่าน ซึ่งแต่ละคนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถและความรู้ และใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่เป็นเลย ผมก็เลยได้เข้าไปทำงานด้วยความรวดเร็วจากความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ พอทำงานไปได้สักพักหนึ่ง ผมได้เห็นงานต่างๆ ของพวกรุ่นพี่ ที่เค้า วาดมาจากมือล้วนๆ และสวยมากด้วย มันทำให้ผมมองหยุดคิดและมองกลับไปว่า ถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์แล้วผมจะสามารถทำงานกับเค้าได้ไหม ถ้าไฟดับแล้วผมต้องส่งงาน สามารถวาดแทนได้ไหม ถ้า windows เกิดล่มขึ้นมาผมจะทำอย่างไง
มันก็เลยย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งคือการสร้างสรรค์งานอย่างมีคุณภาพและระบบด้วยการ Design จากมือก่อนและผมก็ยึดแนวความคิดนี้มาตลอดถึงแม้ว่าการวาดของผมจะไมได้เรื่องเท่าคนเก่งๆ แต่ผมก็สามารถรวมรวบระบบความคิดของตัวเองได้เป็นอย่างดี และในปัจจุบันผมกลับมองว่า คอมพิวเตอร์ทำให้นักออกแบบรุ่นใหม่ทำงานอย่างฉาบฉวย มักง่าย และไร้ระบบการกลั่นกรองความคิด การสร้างงานหนึ่งชิ้น อยากได้รูปอะไรก็ค้นเอาใน internet อยากได้รูปกล้วยไข่ค้นเจอก็เอามาทั้งอย่างงั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นกล้วยหอมก็ตาม เพระว่าอะไรรึครับ เพราะว่ามันเจอมาแบบนั้นจะให้ทำไง แล้วค่อยมาปรับให้เข้ากับงานของตัวเองบางที่ถึงขั้นเปลี่ยนความคิดงานของตัวเองไปเลยว่าใช้กล้วยหอมแทนเพราะว่าไม่มีรูป เรื่อง copy เค้ามาก็อีก เคยได้ยินถึงขั้น copy ไปเถอะไม่มีใครรู้หลอก ครับคนอื่นอาจจะไม่รู้แต่ตัวเองรู้ตัวของตัวเองอยู่แล้วว่าสามารถเอางานนั้นใส่เข้าแฟ้มด้วยความภาคภูมิใจได้ไหม พอว่มีคนติ คนวิจารณ์ก็โกรธและยกเหตุผลมาด้วยความมักง่ายว่าทำได้แค่นี้จะให้ทำไง แทนที่จะเปลี่ยนความคิดว่าเราไม่ได้ซื่อสัตย์กับตัวเองและพัฒนาการทำงานให้ดีกว่าเดิม ทำให้หมดสนุกกับการสร้างสรรค์งานเพราะว่าเอาแต่จับจ้องอยู่กับคอมพิวเตอร์ ไม่เคยแม้แต่จะสร้างงานขึ้นมาเองด้วยการถ่าย การวาด ทำสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ มั่วแต่งมอยู่ในจอคอมพิวเตอร์และ internet ไม่เคยเหลียวไปมองรอบๆตัว ว่ามันมีอะไรมากกว่าในจอคอมพิวเตอร์เยอะที่จะช่วยให้เราพัฒนาความคิด พลังความสร้างสรรค์ และการเอาชนะตัวเองได้เลย และในทุกๆวันก็มีคนรุ่นใหม่เรียนคอมพิวเตอร์ตามมาอีกเรื่อยๆ
เลิกเสียเถอะครับกับความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกคิดว่าเก่ง คิดว่าทำถูกแล้ว ทำได้แค่นี้ หรือทำไม่ได้ตลอดเวลาโดยไม่รับอะไรใหม่ๆเข้าไปบ้างเลย ยังมีอะไรให้ค้นคว้า ศึกษาและเรียนรู้นอกจอคอมพิวเตอร์เสมอ ปรับปรุงพัฒนาและยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง ขยันทำงานและอย่าโทษว่าไม่มีเวลา คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากันเพียงแต่จะใช้งานมันอย่างไงให้มันได้ประโยชน์มากกว่าคนอื่นที่สุด มันจะได้สนุก มีความสุข และภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง…..นะครับคุณนักออกแบบในอนาคต