ยุทธพงษ์ สืบภักดี : ครูหนุ่ม

ครูหมีขี้บ่น

ฟุตบอลโลก 2010 กีฬาแห่งมวลมนุษย์ชาติ หรือของใคร????

by on ก.ค..11, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

วันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายแล้วของฟุตบอลโลกกีฬาแห่งมวลมนุษย์ชาติ ที่ 4 ปีจะมีสักครั้ง แล้ววันนี้จะมาพูดเรื่องอะไรล่ะ ฟุตบอลโลกมาเกี่ยวไรด้วย?

เรื่องของเรื่องคือปีนี้มีสิ่งที่มากระตุ้นและสะกิดใจผมและหลายๆคนให้รู้สึกตัวว่า ต่อไปนี้การที่จะดูกีฬาอะไรสักอย่างต้องเสียเงินดูแล้วไม่ใช่ของฟรีอีกต่อไป!!!!

แต่ที่มาเล่าวันนี้ไม่ใช่จะมาต่อว่าใครรึว่าวิจารณ์ใคร เดี๋ยวจะโดนไล่ออกจาก AF ได้ แต่สิ่งที่จะพูดคือ อะไรคือกลไกที่ทำให้เกิดระบบนี้ขึ้น?

ก่อนจะเล่าเรื่องก็ต้องเกรินก่อนว่า อันตัวผมนั้นไม่ใช่แฟนบอลพันธุ์แท้แต่อย่างใด ไม่ได้ติดตามรึว่ารู้จักนักกีฬาฟุตบอลเพียงแค่เห็นหลังแวปๆ ก็รู้ใครแบบนี้เป็นต้น คือสรุปว่าไมได้เป็นคอบอลง่ะครับ เพียงแต่ชอบดูกีฬาทุกประเภท ดูได้หมดที่เปิดทีวีไปเจอ บอล บาส เทนนิท กอลฟ์ อเมริกันฟุตบอล มวย ฯลฯ คือดูทุกอย่างง่ะครับ เพราะว่าการดูกีฬานี้ มันช่วยให้เราคลายเครียด สร้างความบันเทิงและเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความอยากออกกำลังกายได้เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงแบบเค้าบ้าง นี่คือเหตุผลของผม

แต่….ฟุตบอลโลกมันจะมีเสนห์ของมันเอง คือ เป็นเกมกีฬาที่แข่งกันทั่วโลก หาตัวแทนของแต่ละเขตแต่ละพื้นที่มาแข่งกัน เรียกได้ว่าเป็นสงครามโลกของกีฬาเลยที่เดียว เพราะไรถึงใช้คำว่าสงครามโลกของกีฬาครับ เพราะว่า ฟุตบอลในปัจจุบันนี้ถือเป็นหน้าเป็นตาของประเทศที่สื่อไปถึงการพัฒนาศักยภาพทางด้านกีฬาของประชากรในประเทศนั้นๆ เลยที่เดียว ประมาณว่า ประเทศไหนเล่นฟุตบอลดีแสดงว่าประเทศนั้นมีการพัฒนาทางด้านกีฬาดี ประชาการเล่นกีฬามาก สุขภาพดี และมีความสามารถ พัฒนาด้านกีฬา ซึ่งท่านสามารถค้นข้อมูลได้เลยว่า รอบๆประเทศเพื่อนบ้านเรามีการลงทุนและงบประมาณไปมากมายขนาดไหนในการพัฒนาทางด้านกีฬาประเภทนี้อย่างจริงจัง ยกตัวอย่างเช่น วี ลีก (V-League) เป็นลีกการแข่งขันฟุตบอลในประเทศเวียดนามก่อตั้งในปี พ.ศ. 2523 (ฤดูกาล 1980) และอีกหนึ่งเหตุผลที่ตามมานอกจากเรื่องความเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ของรัฐบาล ของประชาชน  มีประโยชน์ด้านสุขภาพ ภาพลักษณ์ที่ดี เป็นตัวอย่างของเยาวชนในประเทศให้อยากเล่นกีฬาแล้ว คือ เงิน เงิน เงิน   นี่คือเรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้

ทำไมเรื่อง เงินๆ ทองๆ ถึงมาปนกับกีฬาได้ เรื่องนี้มันก็มีมานานแล้วถ้าเราลองมองย้อนไปดูสมัยก่อนก็มีมาตั้งนานแล้ว ที่ใดมีกีฬาที่นั้นมีการใช้จ่าย และกลไกของมันเริ่มมาจากตัวนักกีฬาก่อน ทำไมถึงเริ่มที่ตัวนักกีฬา ลองมาดูกัน

นักกีฬามีความสามารถ รักกีฬา ชอบกีฬา อยากเล่น อยากแสดงฝีมือ อยากแข่งขัน เลยต้องหาที่แสดงออก —–> การแข่งขันต่างๆ เกิน 80% จัดโดยเอกชน ถึงจะเป็นของรัฐบาลแต่ก็มีเอกชนเข้ามาร่วมด้วยเสมอโดยการสนับสนุนด้านต่างๆ —–> แล้วเอกชนมาร่วมด้วยทำไม ก็อีกครับ เกือบ 80% หวังผลทางด้านการประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์ขององค์กรที่ดี แต่ก็มีบางคน บางกลุ่มที่ช่วยด้วยความเต็มใจไม่ได้หวังผลอะไร —–> ส่วนตัวนักกีฬาเองก็ต้องกินต้องใช้ ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตต่างๆ จะมาเล่นกีฬาอย่างเดียวก็ไม่ได้ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองไปด้วย —–> เมื่อนักกีฬาต้องกินต้องใช้ ผู้ให้การสนับสนุนก็ไม่สามารถซ้อมนักกีฬาได้เต็มที่ถ้านักกีฬาต้องไปทำงานหาเลี้ยงชีพอีกเลยต้อง จ้างนักกีฬาเหล่านี้เป็นเงินเดือนไปเลย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกไปทำงานอย่างอื่นคือจ้างมาเล่นกีฬาอย่างเดียว —–> เมื่อเกิดการลงทุนไปกับนักกีฬา ผู้สนับสนุนก็ต้องมีค่าใช้จ่าย เมื่อมีค่าใช้จ่ายในเชิงธุรกิจก็ต้องคำนวนหาจุดคุ้มทุนที่ลงทุนไป —–> เมื่อจุดคุ้มทุนเกินกว่าที่จะจ่ายไหว เช่น การประชาสัมพันธ์ของผู้สนับสนุนต้องการหวังยอดขายของสินค้าในเครือ เมื่อไม่เพียงพอรึว่าจ่ายมากเกินไป ก็ต้องหาทุนเพิ่มด้วยวิธีการต่างๆ อาจจะมาจากการขายตั๋ว ขายของที่ระลึก ขายลิขสิทธิ์ต่างๆ หรือเมื่อกระทั่งขายสิทธิ์นักเตะในเครือเมื่อไม่ต้องการแล้ว —–> เมื่อทุกอย่างมันเกี่ยวกับเรื่องเงินทองมากขึ้นความซับซ้อนของธุรกิจก็มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนกลายเป็น ธุรกิจแบบเต็มรูปแบบ ทุกอย่างเลยต้องเป็นเงินเป็นทองไปหมดทุกอย่าง —–> และในเมื่อเราอยากดูทีมที่เราชอบเล่นเราก็ต้องจ่ายเงินเพื่อให้มันครบวงจรในกระบวนการธุรกิจ ประมาณว่าเป็นผู้สนับสนุนรายย่อยเพื่อให้ทีมที่เราชอบมาเล่นกีฬาให้เราได้ดูต่อไป ซึ่งถ้าขาดพวกเราคนดู ระบบนี้ก็จะล่มสลายทันที

พอจะมองออกยังครับว่ามันมีผลอย่างไงในเมื่อมันมีการลงทุนที่มากมายขนาดนี้ มีเงินหมุนเวียนระดับหมื่นๆล้านบาท เราคงเคยได้ยินข่าวว่านักกีฬาคนหนึ่งค่าตัวระดับ 300ล้าน ค่าเบี้ยเลี้ยงอาทิตย์ละเป็นล้านบาท เงินจำนวนนี้จะเอาที่ไหนมาจ่าย ก็ต้องหาเงินมาจ่ายให้ได้จากการเก็บลิขสิทธิ์ทุกอย่าง ทุกชนิด ทุกประเภท เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าใช้จ่ายและผลกำไรในการบริหารทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง ซึ่งในบ้านเราตอนนี้ก็มี ที ลีก หรือ ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกแล้ว ระบบก็กำลังจะเริ่มเข้ารูปเข้ารอยคนดูก็เริ่มมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็คงไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆ ต่อไปอีกเรื่อยๆ

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบอลโลกล่ะ? ในเมื่อที่พูดมานั้นเป็นบอลระดับสโมสรที่ต้องมีค่าใช่จ่ายในการก่อตั้งเอง บอลโลกเป็นกีฬาของมวลมนุษย์ชาติแล้วมันจะมีค่าใช้จ่ายอะไร ครับบอลโลกก็คือ การแข่งขันฟุตบอลรายการหนึ่งแค่นั้นเอง เพียงแต่ว่ามันเป็นการแข่งขันที่ต้องจัดทั่วโลก การที่จะจ้างทีมงานไปจัดการแข่งขันต่างๆ ทั่วโลก ทั้งกรรมการ ทีมงาน นักกีฬา ที่พัก อาหาร ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าสนาม ค่าประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ทุกอย่างต้องใช้เงินในการดำเนินการทั้งนั้น แล้วจะเอาจากไหนล่ะครับมากมายขนาดนี้ ก็แน่นอนละครับก็ต้องหาผู้ให้การสนับสนุน หรือ ที่เราคุ้นหูคือ สปอนเซอร์ ยิ่งกีฬานั้นๆ ได้รับความนิยมมากขนาดไหน ก็ยิ่งมีคนอยากให้การสนับสนุนมากตามมา เมื่อผู้ให้การสนับสนุนนั้นต้องการสนับสนุนเพระว่าหวังผลในเชิงธุรกิจจากการสนับสนุนนี้และมองเห็นแล้วคุ้มค่าแก่การลงทุน ลงทุนแล้วทำให้มีผลกำไรต่อองค์กร ก็ต้องแย่งชิงกัน และยิ่งเป็นฟุตบอลโลกที่คนทั้งโลกอยากดูอยากชม ก็ยิ่งทำให้เกิดการแย่งชิงกันอย่างมากมายและมีมูลค่ามหาศาล ผู้สนับสนุนก็ต่างต้องการได้ไว้ในครอบครองแต่เพียงผู้เดียวเพื่อการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับผลเชิงธุรกิจ บอลโลกเลยไม่ใช่กีฬาที่จะดูฟรีอีกต่อไปแล้ว มีการแย่งลิขสิทธิ์กันอย่างมากมายในแต่ละประเทศ อย่างเช่นประเทศไทยของเรา

ผลที่ตามมาคือการถือครองสิทธิ์ในการนำเสนอ แพร่ภาพ และการควบคุมการนำไปใช้ในเชิงธุรกิจทุกอย่าง การขายสิทธิ์ในการนำไปใช้ แพร่ภาพ และทุกอย่างที่เกี่ยวกับฟุตบอลโลก อย่างบ้านเราประเทศไทย มีการขายสิทธิ์ในการแพร่ภาพ จากผู้ที่ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาอย่างถูกต้อง โดยที่เราเห็นอยู่นี้เป็นการขายสิทธิ์ต่อมาอีกหลายทอดแล้วกว่าจะมาถึงมือผู้ถือสิทธิ์ในปัจจุบัน ใครจะนำไปเผยแพร่ต่อไม่ได้ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ทุกคน เช่น ร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่เปิดให้ลูกค้าในร้านดูต้องจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์และขอสิทธิ์ให้ถูกต้อง ตามที่เค้ากำหนด (ร้านอาหารเพื่อนผมจ่าย 10,000 บาทในการเปิดให้ลูกค้าดู) และที่เป็นเรื่องในบ้านเราคือการตัดสัญญานจากดาวเทียมให้ชมได้แค่การถ่ายทอดสัญญานจากคลื่นความถี่เดิมของบ้านเรานั้น ก็มีผลมาจาก การที่สัญญานจากดาวเทียมนั้น ใครก็สามารถดูได้ถ้าปรับคลื่นความถี่ให้ตรงแค่นั้นเอง ซึ่งมีผลเสียต่อคนที่ซื้อลิขสิทธิ์มาแต่คนอื่นไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาแต่ได้ชมฟรี เช่นประเทศเพื่อนบ้านเรา ก็เลยมีการฟ้องร้องกันจนถึงขั้นมีการตัดสัญญานการถ่ายทอดจากดาวเทียมเมื่อถึงเวลาถ่ายทอดเลยทีเดียว แต่ก็มีบางคลื่นความถี่ที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปสามารถดูได้ปกติเพียงแต่ต้องซื้อของเค้ารึว่าจ่ายเงินให้เค้าแค่นั้นเอง อย่างที่บ้านผมเพิ่งติดจานใหม่ๆ ก็อดดูบอล ถึงขั้นต้องเปลี่ยนอุปกรณ์รับสัญญานใหม่ (ซื้อใหม่) เพื่อจะได้ดูฟุตบอลโลกครั้งนี้ และเมื่อวานกับวันนี้ ที่กลางเมืองในจังหวัดผมมีการถ่ายทอดสดจอใหญ่เพื่อให้ทุกคนมานั่งดูนั่งชมมีการขายของ ขายเครื่องดื่มและที่นั่งให้ชมเรียบร้อย มีดนตรีให้ฟังก่อนถ่ายทอดจากวงดนตรี และแน่นอนการนำสินค้าเข้ามาขายในพื้นที่ตรงนี้ต้องเป็นสินค้าที่เป็นของผู้ให้การสนับสนุนเท่านั้น เมื่อกระทั่งเพลงจะนำมาร้องบนเวทีก็ต้องเป็นของค่ายที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น !!!!!! (ฟังมาจากนักร้องเอง) ห้ามร้องเพลงค่ายของคู่แข่งเด็ดขาด …

เห็นไหมครับว่าฟุตบอลโลก 2010 กีฬาแห่งมวลมนุษย์ชาติ มันวุ้นวายซับซ้อนขนาดไหน และไม่ใช่แค่ฟุตบอลโลกอีกต่อไปแล้ว ต่อไปกีฬาแทบจะทุกประเภทที่ได้รับความนิยม การแข่งขันทุกรายการที่ได้รับความนิยม (โอลิมปิคเป็นต้น) จะมีเรื่องของลิขสิทธิ์เข้ามาแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ใครจะเป็นอย่างไรต่อไปไม่อาจจะรู้ได้ เพียงแต่ก็ยังดีที่บ้านเรายังสามารถดูฟุตบอลโลกได้อย่างประเทศอื่นเค้า บางประเทศดูถ่ายทอดสดไม่ได้เลยนะครับ ต้องดูเทปการแข่งขันเอา เลวร้ายกว่าบ้านเราเยอะ ที่มาเล่าให้ฟังนี้ก็เผื่อมีคนไม่รู้ที่มาที่ไปว่าทำไมต้องล็อกสัญญานก็เลยนำมาเล่าซะเลย อาจจะมีผิดบางก็ต้องขออภัยเพราะว่านี้เป็นความรู้ของผมเองที่รับรู้มาไม่ใช่นักธุรกิจมืออาชีพ รู้เป็นบางอย่าง ก็อาจจะมีประโยชน์ต่อคนที่เข้ามาอ่านบ้าง ส่วนตัวผมนั้นวันนี้ก็จะดูรอบชิงชนะเลิศอย่างมีความสุขไปพร้อมๆกับเพื่อน ก็แน่นอนละ 4 ปีมีครั้งนี้แล้วผมก็คอกีฬาซะด้วยสิ เชียร์อย่างมีสตินะครับอย่าไปทุมเล่นการพนันมันจะหมดตัว กลายเป็นความทุกข์มากว่าความบันเทิง…….

ปิดความเห็น บน ฟุตบอลโลก 2010 กีฬาแห่งมวลมนุษย์ชาติ หรือของใคร???? more...

เรื่องของ บล็อก(Blog) มันคืออะไรว้า….

by on ก.ค..09, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

จริงๆ คำว่า บล็อกใน สาระบบของ internet ผมก็ได้ยินมาค่อนข้างนานมากแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นไม่ค่อยได้สนใจกับมันเท่าไร ตอนนั้นกำลังวุ่นวายอยู่ PHP ล้วนๆ อยากเขียนเองแต่ก็ต้องล้มพับโครงการไปหลายๆครั้ง เพราะว่าเมื่อเริ่มลงมือทำก็รู้เลยว่า งานนี้ช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก ใช้เวลาทำค่อนข้างนานและบวกกับความไม่ชำนาญของผมเอง ทำให้เวลาทำแต่ละครั้ง เมื่อวางมือไปแล้วกลับมาทำต่อ มันจะชอบลืมและต้องมารื้อทำกันใหม่หมดเลยตั้งแต่แรกเป็นประจำทุกครั้ง  จนมาช่วงหนึ่งที่โลก It ของเราได้เกิดยุค CMS (Content Management System) ขึ้นมาและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง CMS คือไรครับ แปลง่ายๆเป็นภาษาบ้านเราก็คง ระบบจัดการข้อมูล ข้อความ เนื้อหา หรือขอพูดตามความเข้าใจของตัวเองคือ มันคือโปรแกรมสำเร็จรูปที่ออกแบบมาจัดการเนื้อหา บทความข้อความ ของเราบนระบบ internet นั้นเอง ทำไมถึงได้รับความนิยมสูงล่ะ?  ก็แน่และครับเพียงคุณมีความรู้สักเล็กน้อย บวกกับมีความเข้าใจในภาษาอังกฤษและระบบ network ซักหน่อย เพียงแค่คลิกไม่กี่ครั้ง ก็มี website หน้าตางามๆออกมาได้เลย และที่สำคัญ ฟรีครับ!!!! มีเซียนจากทั่วทุกมุมโลก มาช่วยกันพัฒนาต่อยอดจากของฟรีที่เขียนมาออกง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่น คนแรก พัฒนาออกมาให้สามารถเก็บบทความและจดจำวันที่ สามารถเรียกขึ้นมาใช้งานได้ในวันหลัง พอเวลาผ่านและมีคนมารวมกลุ่มกันมากๆเข้า พัฒนากันไปคนละนิดคนละหน่อย จากที่มันแค่จำวันที่ที่ลงข้อมูลและเรียกขึ้นมาดูได้ในวันหลังก็กลายเป็น CMS ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนบางครั้งมันก็มากเกินความต้องการและความสามารถของผู้ใช้ไปหน่อย ขนาดผมว่าพอรู้เรื่องบางก็งงไปกับระบบที่ยุ่งยากซับซ้อนมากมายจนเกินความต้องการ เพระว่าอะไรรึครับ เพระว่าผู้พัฒนา พยายามใส่ความสามารถมันลงไปทุกอย่าง มีร้อยคนก็ใส่ลงไปร้อยอย่าง จากที่ผู้ใช้ต้องการเพียงแค่ website ที่สามารถเก็บข้อความได้ ก็กลับกลายเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่วุ่นวายในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับเรา มีความซับซ้อนเกินความเข้าใจไป ……ผมคงไม่ใด้มองเห็นและคิดเรื่องนี้ได้อยู่คนเดียวแน่ๆ เพราะว่าในปัจจุบันมีผู้พัฒนา CMS ออกมามากมาย หลายแบบ หลายรุ่น หลายอย่าง ตามความต้องการของผู้ใช้ที่แตกต่างกันออกไป ผลที่ตามมาก็คือ พวกเรานั้นเองครับ ที่โชคดีได้ใช้ระบบ ที่เค้าพัฒนามาให้ใช้ฟรีๆ ไม่ต้องเสียเงินเลย แถมพัฒนาต่อยอดไปได้อีกตามความซุกซนของเรา ^^ 

ฉะนั้นในปัจจุบันนี้ การที่ คุณๆ ท่านๆ พี่ๆ น้องๆ หรือ อาก๋ง อาม่า จะมี website ของตัวเองซักที่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแปลกใหม่อะไรมากมาย สามารถทำได้ด้วยตัวเองง่ายๆ หรือ ในปัจจุบันนักศึกษาก็มีความรู้ความสามรถเพิ่มมากยิ่งขึ้น อาจจะขยายวงกว้างเข้าไปถึงระบบการศึกษาช่วงชั้นแรกๆ เลยด้วยซ้ำ เด็กประถมบางคนก็มี website เป็นของตัวเองได้แล้ว ขอเพียงพิมพ์ข้อความบนแป้นพิมพ์เป็นแค่นั้นเอง หรือง่ายกว่านั้น Host ต่างๆในปัจจุบันนี้ก็มีบริการ อำนวยความสะดวกมากมายในการสร้างสรรค์หรือว่าดูแลให้ได้เพียงเราส่งข้อมูลข้อความที่ต้องการไปให้ทางเค้าจัดการให้ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เห็นไหมครับ ง่ายนิดเดียวเอง …..นอกเรื่องมาซะนาน เข้าเรื่องละ

ตามหัวข้อวันนี้คือมีนักศึกษาและเพื่อนบางคนถามผมว่าบล็อก (Blog) คือออะไร? ต่อไปนี่จะใช้คำว่า Blog ง่ายต่อความเข้าใจและจำภาษาต่างด้าวไปในตัว

Blog  คือ ระบบ CMS  (Content Management System) หรือที่อธิบายไปแล้วว่า คือระบบจัดการเนื้อหาประเภทหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถในการ จัดการบทความต่างๆที่ ผู้ควบคุมสามารถเพื่มบทความและสามารถปรับแต่ง ข้อความต่างๆ ได้ตามความต้องการ เช่น เผยแพร่ ปิดบัง กำหนดกลุ่มผู้อ่านได้ ตั้งระยะเวลาการเผยแพร่ล่วงหน้าหรือหมดอายุของบทความได้ ซึ่งถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ คนที่เคยใช้งาน CMS ทั่วไปก็จะบอกว่า “อ้าวก็ไม่เห็นจะแตกต่างจากที่ใช้อยู่เลยซักเท่าไร”  ครับก็จะคล้ายๆกับ CMS ประเภทอื่นๆ เพียงแต่ว่า Blog นั้น เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อการนำเสนอบทความต่างๆ ของผู้ควบคุม เนื้อหา และสิ่งที่นำมาเสนอนั้น โดยส่วนมากจะนิยม นำมาใช้เกี่ยวกับการนำเสนอเรื่องราว ประสบการณ์ หรือเอาเข้าใจง่ายๆ ก็ ไดอารี่ส่วนตัวที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาอ่านได้ แถม Blog นั้นยังมีระบบ interactive ระหว่างผู้เข้ามาเยี่ยมชมสามารถแสดงความคิดเห็นต่อบทความเราได้อีกด้วย ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับกลุ่มบุคคลที่ต้องการพิมพ์ นำเสนอ ชอบเขียน ชอบเล่า และต้องการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ โดยมีรูปแบบการใช้งานที่ค่อนข้างง่ายไม่ซับซ้อนและทำความเข้าใจได้รวดเร็ว นี่คือ  Blog

จะเห็นได้ว่าการนำเสนอและวิธีการใช้งานตามความต้องการของผู้ใช้มีส่วนอย่างมากในการกำหนดแนวทางในการพัฒนาเป็นอย่างสูงอย่าง Blog ตัวที่ผมใช้อยู่เนี้ย บอกตรงๆ ผมก็เพิ่งจะรู้จักได้ไม่นานมานี้เอง นั้นคือ wordpress  (สามารถค้นข้อมูลได้ใน google) ซึ่งก็เป็น สคลิปสำเร็จรูป ใช้เวลาในการติดตั้งไม่ถึง ครึ่งชั่งโมงสำหรับมือใหม่และ 5 นาทีสำหรับมืออาชีพ ก็จะได้ Blog หน้าตาแบบนี้ออกมาใช้งานได้แล้ว  น่าทึ่ง จริงๆครับ และไม่ได้มีแค่ wordpress  อย่างเดียวนะครับในปัจจุบันมามากมายหลายรุ่นหลายแบบ หลายผู้พัฒนามากมายจริงๆ ก็สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการของท่านเลยครับ ท่านใดสนใจและอยากมี Blog เป็นของตัวเอง ก็สามารถศึกษาข้อมูลเพื่อเติมได้ที่  http://th.wordpress.org/ พร้อมทั้งวิธีการติดตั้งและการใช้งานต่างๆ เป็นภาษาไทยครับ การปรับแต่งไม่ยากยิ่งถ้าเป็นเด็กสมัยใหม่นี้ง่ายไปใหญ่ คล้ายๆกับกำลังเล่น Hi5 ที่ชอบเล่นกันเลยนั้นล่ะ วันนี้ก็คงจะจบไปกับเรื่อง Blog กันไปกอ่นครับ วันนี้มีโปรแกรมดูหนังเรื่อง The Losers ดูเสร็จแล้วจะมาเล่าให้ฟังใน หมวดของ หนังที่เพิ่งดูมา นะครับ วันนี้ขอตัวเลยละกันครับ

ปิดความเห็น บน เรื่องของ บล็อก(Blog) มันคืออะไรว้า…. more...

บล็อกครั้งแรกกับนายหนุ่ม

by on ก.ค..08, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

วันนี้ก็ได้ลองอะไรใหม่ๆ หลังจากงงๆ งูๆ ปลาๆ ลองผิด ลองถูกมาหลายครั้ง ว่าจะทำ web ของตัวเองให้มันมีหน้าตาอย่างไงดี ลองใช้มาเกือบจะทุกอย่างแล้ว ในบรรดา สคลิปที่มีใช้ เลือกใช้ของฟรีอย่างมากมาย ของคนอื่นก็ทำให้เค้ามาเยอะแล้ว ของงานประจำก็นั่งทำมาร่วมๆ 5 ปี (ที่ทำงานเก่า) จนวันนี้ได้ย้ายมาทำงานที่ใหม่ (จริงๆ ย้ายมาเกือบปีแล้ว) ก็เลยมีความคิดที่ว่าจะทำ web ประมาณ เผยแพร่ความรู้ (มั่วๆ) ของตัวเอง ที่ค้นคว้ามา อ้อลืมบอก….งานใหม่คือ ครู(จ้างสอน) หรือเรียก ตามภาษาที่เค้าเรียกกัน คือ ครูพิเศษสอน ที่โรงเรียนอาชีวะ แห่งหนึ่ง ยังไม่แน่ใจว่าจะเปิดเผยที่ทำงานได้ไหม ไว้ถ้ามันไม่มีอะไรเกินคาดแล้วจะมาบอกละกันครับ หลักๆของ บล็อก ก็คงจะเป็นเรื่องทั่วไป สิ่งที่นำมาสอนนักศึกษา และสิ่งที่ได้ไปพบไปเจอ ที่ค้นคว้าเจอมา หรืออาจจะคิดเอง อาจจะจริงมั่ง มั่วมั่ง เชื่อได้รึไมได้ก็ไม่สามารถจะยืนยันได้เท่าไรเพระว่า โดยส่วนมากแล้ว 99% มาจากใน internet ล้วนๆ ฉะนั้นออกจะแนวๆ ความคิดส่วนตัวซะมากกว่า

เมื่อวาง concept ของ web ได้แล้วก็เลยมาลงที่ ทำเป็น บล็อก ดีกว่า (ได้พี่ชายช่วยทำให้ด้วย ตอนแรกมีปัญหาเรื่อง SQL ต่ำไป) เพราะว่าค่อนข้างที่จะมีรูปแบบไปในทาง เผยแพร่หรือออกแนวไดอารีส่วนตัว โดยคนที่เข้ามาดูส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ นักศึกษา ก็คงจะเป็นเพื่อนๆ ที่ผมชวนให้มาอ่านและแนะนำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อ บล็อก แห่งนี้

จุดประสงค์หลักๆ ก็คง รวบรวมความรู้และประสบการณ์ เรื่องราวต่างๆ และที่นักศึกษาต้องการมากที่สุดเลยคือ อยากรู้ว่าคะแนนของเค้าเป็นอย่างไรบ้างในแต่ละวิชา กับเรื่องของเนื้อหารายวิชาที่สอนไปแล้ว

สิ่งที่คาดหวังก็คงไม่มีไรมากไปกว่าคงจะมีประโยชน์กับคนที่หลงเข้ามาอ่านบ้าง และกับนักศึกษาโดยตรงไว้ติดต่อกันพูดคุยกับนอกรอบ นอกจากห้องเรียน ให้ได้นำเสนอความคิดของตัวเองบ้าง เพราะว่าในชั่วโมง ผมจะพูดคนเดียวซะหมดไปแล้ว เหอๆๆ

……อืมมม…….พูดไปพูดมาถ้าจะยาว สงสัยงานใหญ่ แต่คงทำไปเรื่อยๆ เพระว่าวันๆก็นั่งอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เกินวันละ 10 ชั่วโมงอยู่แล้วคงจะมีเรื่องไรมาเขียนมั่งล่ะน่า….

งั้นก่อนอื่นเรื่องแรกที่จะเล่าให้ฟังเลยคือ (ยังปรับปรุงหน้าตามันไม่ค่อยจะเป็นเลยลองดูละกัน) จะอธิบายเรื่องราวของ บล็อก ก่อนว่ามันคือไร? แล้วทำไม ถึงเป็น บล็อก? แล้วทำไมต้องเรียกว่า บล็อก? ใช้งานอย่างไง? ก่อนเลยดีกว่าเพราะว่ามีคนถามกันมามาก ย้ำอีกครั้งนะครับ เป็นข้อมูล บทความที่มั่วๆ ขึ้นมาเองโดยอาศัยข้อมูลที่เจอมาเรื่อยๆ และความคิดตัวเองเป็นหลัก ฉะนั้นถ้ามีผิดพลาดอะไรก็ โต้แย้งมาได้เลยนะครับ เอาละ รวบรวมข้อมูลก่อน…….

3 Comments more...

Looking for something?

Use the form below to search the site:

Still not finding what you're looking for? Drop a comment on a post or contact us so we can take care of it!

Visit our friends!

A few highly recommended friends...