Archive for กรกฎาคม, 2010
คุณสมบัติของนักออกแบบที่ดี
by admin on ก.ค..28, 2010, under ครูหมีสอนศิลปะ
การที่จะเป็นนักออกแบบที่ดีและประสบความสำเร็จนั้นไม่ใชเรื่องยาก แต่มันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนั้นโดยส่วนมากแล้ว 99% นั้นอยู่ที่ตัวของคุณเอง เริ่มจากที่ตัวคุณเอง และในตัวตัวคุณนั้นต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานของนักออกแบบที่ดีด้วย เพื่อช่วยในการเริ่มต้นและปฎิบัติให้ถูกต้องตามที่สังคมยอมรับได้ ซึ่งมันจะมีอะไรบ้างนั้นลองมาดูกันครับ
คุณสมบัติของนักออกแบบ ในการเป็นนักออกแบบที่ดี จะต้องมีความสามารถ และมีลักษณะนิสัยที่ช่วยให้การออกแบบมีคุณภาพ และประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย คุณสมบัติของนักออกแบบมีหลายประการ ซึ่งพอจะจำแนกออกได้ดังนี้
แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
by admin on ก.ค..25, 2010, under ทีมครูหมีอ้วน
แฟ้มสะสมผลงานมีไว้ทำอะไร? คนโดนสั่งให้ทำคงไม่รู้ เพราะว่าถ้ารู้คงจะทำ หรืออาจจะรู้แต่ขี้เกียจทำก็เป็นไปได้ ทำไมเราจะต้องทำแฟ้มนี่ด้วยเนี่ย มันเอาไปทำอะไรได้? ใช้ทำอะไร? ทำไมครูที่โรงเรียนบังคับให้เราทำด้วย(เรื่องมาก -*- มีคนบ่นให้ได้ยิน)? เสียเวลาอ่านหนังสือสอบมากๆเลย(ดูดีขึ้นมาเลย)? ขี้เกียจทำ ไม่ต้องทำก็ได้มั้ง แต่ที่จริงแล้วแฟ้มสะสมผลงานนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คิดลองมาดูกันว่ามีประโยชน์อย่างไร
การจัด เรตภาพยนตร์ (Film Ratings)
by admin on ก.ค..24, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
พอดีวันนี้ไปค้นรายชื่อหนังออกใหม่เพื่อหาหนังใหม่ๆดู เมื่อคืนดู สาระแนสิบล้อไป กับ The Sorcerer’s Apprentice ไปเมื่อตอนบ่ายๆ ก็ไปสังเกตุ เห็นเรตภาพยนตร์ หรือ Film Ratings ว่า ระหว่างของประเทศไทย กับของต่างประเทศ (สากล) เราใช้ไม่เหมือนกัน ทั้งการแบ่งประเภท รูปแบบการแบ่ง และสัญลักษณ์ไม่เหมือนกัน พอดูของ สากลแล้วก็มาดูของไทยก็งงๆ นิดหน่อยว่าระดับเดียวกันไหมและหมายความว่าอย่างไร ก็เลยถือโอกาสนำมาลงไว้ที่นี่เลยเผื่อตัวเองและคนอื่นเข้ามาดูเปรียบเทียบบ้าง
การจัด เรตของภาพยนตร์ (Film Ratings) เป็นการจัดระดับตามตามเนื้อหาและฉากของ ภาพยนตร์ จุดประสงค์เพื่อกำหนดความเหมาะสม ของการเข้าชมภาพยนตร์สำหรับ เด็กและเยาวชน แต่ละประเทศมีลักษณะมาตรฐานวิธีจัดแบ่งแตกต่างกันไป ในปัจจุบัน ที่เป็นสากลและได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ มาตรฐานของสหรัฐอเมริกาและของประเทศไทยเราจัดเรตภาพยนตร์ (Film Ratings) โดยกระทรวงวัฒนธรรรม ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบ กฎกระทรวงประกอบพระราชบัญญัติ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 ใน ส่วนการจัดเรตติ้งภาพยนตร์ออกเป็น 7 ประเภท โดยกระทรวงวัฒนธรรมจะจัดทำสัญลักษณ์ไว้ 6 สัญลักษณ์ (คือ เรต 1- เรต 6) ดังนี้
การออกแบบสัญลักษณ์ (Logo)
by admin on ก.ค..22, 2010, under ครูหมีสอนศิลปะ
โลโก้ต้องสื่อตัวตนได้
โลโก้ต้องเป็นที่จดจำ
โลโก้ต้องสื่อได้แม้ไม่ได้ใช้สีสัน
โลโก้ต้องสื่อได้แม้ขนาดเล็กๆ
ที่มา http://www.freelanceunited.in.th
การออกแบบสัญลักษณ์ (Logo)
การที่จะเริ่มทำธุรกิจฯ การที่จะเปิดทำการดำเนินกิจการอะไรๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการค้า เพื่อหน่วยงานราชการ เอกชน กระทรวง ทบวง กรม กอง องค์กรส่วนรวมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน บริษัท ห้างร้าน ฯลฯ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนแล้วแต่มีความจำเป็นที่จะต้องมีสัญลักษณ์ หรือ Logo ประจำตัว เพื่อเป็นการสื่อ เตือนความทรงจำ และทำให้เกิดผลด้านการสื่อความหมายต่อสาธารณชนได้ง่ายขึ้น
ความคิดสร้างสรรค์??? ถ้าไม่คิดก็ไม่ได้คิด ถ้าไม่คิดก็ไม่ได้ทำ ถ้าอยากจะทำต้องคิด
by admin on ก.ค..21, 2010, under ครูหมีสอนศิลปะ
ก่อนอ่านบทความนี้ผมได้ไปเจอมา ที่ http://www.novabizz.com มีบทความดีๆมากมายเลยที่เดียวถ้าว่างก็ไปอ่านเพิ่มเติมได้ เลยนำมาลงไว้ให้อ่านกันครับ
Improving Your Creative Thinking Skills
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เกรียวกราวพอสมควรชื่อว่า Parallel thinking หรือแปลเป็นไทยว่า ความคิดคู่ขนาน ของ Dr’ Edward de Bono ออกวางตลาด ต่อจากนั้น ดูเหมือนจะได้รับข่าวคราวเสมอเกี่ยวกับ การจะพัฒนาความคิด ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร ? มีการอบรมเรื่องของ Mind Mapping เพื่อสังเคราะห์ไอเดียต่างๆ ทำให้เห็นภาพว่า สังคมไทยมีความตื่นตัวในเรื่องนี้กันพอสมควร สำหรับความเรียงชิ้นนี้ เรียบเรียงขึ้นมาจาก และความคิดของผู้เขียน และจากบทความหลายชิ้นของ Melvin D. Saunders อย่างเช่น Improving Your Creative Thinking Skills, Creativity and Creative Thinking, How creative thinking technique works, Ways to kill and ways to help an idea เป็นต้น ซึ่ง Saunders เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีผลงานทางด้านนี้ ซึ่งจะกระตุ้นให้เรากล้าคิด ในหนทางที่แตกต่าง เช่น การใช้ความคิดจากมุมองที่ต่างออกไป คิดแบบทำลายกฎเกณฑ์เก่าๆ คิดแบบเล่นๆ หรือใช้จินตนาการทุกชนิด เพื่อทำให้เกิดความเป็นไปได้ และเขายังเสนอหนทางที่จะได้มาซึ่ง ความคิด หรือไอเดียใหม่ๆ อย่างเช่น ใช้วิธีการสุ่มต่างๆ เช่น การสุ่มด้วยภาพ การสุ่มด้วยคำ หรือกระทั่งการสุ่มด้วย Website (ลองเปิด website ที่ไม่เคยคิดว่าจะเปิดดูมาก่อน) รวมไปถึงการนำเอาไอเดีย ตั้งแต่สองไอเดีย ที่ไม่เคยรวมกันมาก่อน มาสังเคราะห์เข้าด้วยกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของการได้มาซึ่ง ความคิดสร้างสรรค์
ประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์ (LOGO) และคําขวัญ (MOTTO)
by admin on ก.ค..19, 2010, under ครูหมีสอนศิลปะ
ประกวดออกแบบตราสัญลักษณ์ (LOGO) และคําขวัญ (MOTTO)
สําหรับใช้ในการเผยแพรประชาสัมพันธ์สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมมหาดไทย
(MAHADTHAI CHANNEL) ชิงเงินรางวัล 50,000 บาท
นักศึกษาทุกคนต้องส่งเข้าประกวด
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.moi.go.th/image/images_new/praguard_1.pdf
ไอเดียมาจากไหนว้า….
by admin on ก.ค..16, 2010, under ครูหมีสอนศิลปะ
ปัญหาของนักออกแบบที่ทุกท่านประสบกันมากที่สุดคือ วิธีการหาไอเดียใหม่ๆ เจ๋งๆ เข้าท่าๆ ยิ่งถ้าเจอแบบ เร่งรัด ให้คิดได้ในบัดดลแล้วยิ่งไปกันใหญ่ …ไอเดีย มันเกิดมาจากอะไร มันจะมาตอนไหน แล้วจะหาไอเดียได้อย่างไร วันนี้ ผมจะมาลองเล่าให้ฟัง เผื่อมีประโยชน์บ้าง…
ไอเดีย (IDEA) แปลกันตรงๆ ก็หมายถึง ความคิด ผมจะเรียก สิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่หรือกำลังจะแสดงออก ณ บัดนั้น ว่า ไอเดีย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะแสดงออกมาในรูปแบบใด จะดีรึว่าเลวก็จะเรียกว่าไอเดีย
เช่น “ผมกำลังจะนอน แต่ผมคิดว่าดูหนังก่อนนอนสักเรื่องดีกว่า” แบบนี้เป็นต้น
นี่คือรูปแบบของสิ่งที่เรียกว่าไอเดียโดยทั่วไปแบบปกติ แต่ในชีวิตของนักออกแบบไอเดียนั้นมีความสำคัญมากกว่ารูปแบบปกติทั่วไป เพระอะไร นั้นก็เพระว่าไอเดียของนักออกแบบ ต้องมีสิ่งที่ใหม่ สด แตกต่างจากรูปแบบปกติทั่วไป ไม่งั้นเราก็คงเรียกตัวเองว่านักออกแบบไม่ได้
เช่น “ผมกำลังจะนอน แต่ผมคิดว่าดูหนังก่อนนอนสักเรื่องดีกว่า” แต่ “เอะก่อนนอน ก่อนดูหนัง ผมคิดว่าวันนี้ผมเครียดมาเยอะทั้งวัน วันนี้ดูหนังตลกสักเรื่องดีกว่าจะได้อารมดี คลายความเครียดเพื่อจะได้หลับสบายๆ” แบบนี้เป็นต้น
อันนี้แสดงให้เห็นถึง การใช้ความคิดหรือที่เราเรียกว่า ไอเดีย ในการกลั่นกรอง วิเคาระห์และเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับสภาพที่เป็นอยุ่ ณ ปัจจุบัน แต่…..อันนี้ก็ถือว่าเป็นไอเดียที่คนทั่วไปอาจจะคิดได้และถือว่ายังไม่ใช่ไอเดียที่โดดเด่นกว่าคนทั่วไป นักออกแบบต้องคิดให้ได้ลึกซึ่ง ถ้วนถี่และกรั่นกรองอย่างละเอียด เพื่อหาข้อสรุปและผลของสิ่งที่ทำอย่างชัดเจน โดยมีเป้าหมายในผลของมันตามความต้องการหรือผู้อื่นต้องการ
เช่น “ผมกำลังจะนอน แต่ผมคิดว่าดูหนังก่อนนอนสักเรื่องดีกว่า” แต่ “เอะก่อนนอน ก่อนดูหนัง ผมคิดว่าวันนี้ผมเครียดมาเยอะทั้งวัน วันนี้ดูหนังตลกสักเรื่องดีกว่าจะได้อารมดี คลายความเครียดเพื่อจะได้หลับสบายๆ” แต่ “เอะแล้ววันนี้ผมเครียดเรื่องอะไรว้า อ้อ เรื่องที่ผมเครียดคือผมไม่สามารถบอกให้นักศึกษาทำความสะอาดห้องและเก็บกวาดห้องให้สะอาดได้ อ้าวทำไมถึงเป็นนั้นว้า ทำไมเค้าถึงไม่ฟังเราในการขอให้ทำความสะอาดในสิ่งที่เค้าทำเละได้ว้า แล้วทำไมเค้าถึงได้ทิ้งขยะลงบนพื้นห้องเรียนที่เป็นของพวกเค้าเรียนเอง โดยไม่คิดว่าถ้าไม่มีคนใดเก็บสักคนห้องมันก็จะสกปรก รกและไม่น่าเรียน ผมจะทำไงดีให้พวกเค้าเปลี่ยนความคิดได้ อ้อ งั้นหาหนังที่สอดแทรกความคิดเรื่องรักสิ่งของและช่วยเหลือซึ่งกันและกันดูซัก 2-3 เรื่องดีกว่า เผื่อจะได้นำไปใช้ได้ หรืออาจจะเอาไปให้นักศึกษาดูเลย เผื่อจะได้ความคิดดีๆไปบ้าง งั้น ลองค้นดูสัก 2-3 เรื่องแล้วนอนดูดีกว่า” แบบนี้เป็นต้น
ดั่งตัวอย่างที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า กระบวน การคิด (ไอเดีย) นั้น ถ้าเราคิดด้วยเหตุและผล มีวัตถุประสงค์ รวบรวมข้อมูล กำหนดเป้าหมาย คาดหวังผลที่ต้องการ และนำไปใช้ อย่างละเอียดละออ มันก็จะเกิดประโยชน์มีคุณค่าและใช้งานได้จริง อย่างลงตัว แทนที่จะ ง่วง จะนอน ดูหนัง หลับ ผมก็จะได้ เครียด ง่วง จะนอน ดูหนัง หนังตลก คลายเครียด หาสิ่งคลายเครียด ได้แง่คิดจากหนัง หลับ นำไปทดลองใช้ เกิดผลที่คาดหวัง ตรงตามเป้าหมาย เกิดประโยชน์สูงสุด แบบนี้ เห็นไหมครับ ได้อะไรอีกเยอะมากมายเลย
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการออกแบบ แน่นอนครับเกรินไปแล้ว การออกแบบ ต้องทำให้ได้ตามสิ่งที่ เรา (อาจหมายถึง ตัวเรา และ ลูกค้า) ต้องการ ฉะนั้นเมื่อเริ่มออกแบบเราต้องมีข้อมูลที่ถูกต้อง เน้นว่าถูกต้อง ถ้าผิดพลาดตั้งแต่ข้อมูล ก็จะทำให้เสียกระบวนไปตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มออกแบบเลย เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ทั้งจากตัวเรา ลูกค้า สิ่งต่างๆรอบตัว ผมก็จะเริ่มการ คิดเหตุและผล ถ้าทำงานเป็นกลุ่ม จังหวะนี้ก็จะเกิดการระดมความคิด (ไอเดีย) ของแต่ละคน คนนึงเสนอ(เหตุ) คนอื่นๆวิเคาระห์ และหาคำตอบ (ผล) ถ้าเหตุและผลไปด้วยกันได้ ก็จะเรียกว่า นี่คือไอเดียขั้นต้นแล้ว เมื่อได้ไอเดียขั้นต้นมาแล้ว ก็ต้องผ่านกระบวนการ กำหนดเป้าหมาย คาดหวังผลที่ต้องการ และนำไปทดลองใช้ ก่อนใช้งานจริง กระบวนการนี้อาจจะงงๆไปสักหน่อย จะยกตัวอย่างให้เห้นชัดขึ้น เช่น
“วันนี้ผมให้นักศึกษาออกแบบโลโก้ของ ช่องของกระทรวงมหาดไทย ที่เพิ่งออกอากาศและจัดกิจกรรมประกวดโลโก้อยู่ มีนักศึกษอยู่ 22 คน ก็ให้ออกแบบ Main idea ของแต่ละคนมาให้ได้ก่อน ก่อนที่จะนำไป Develop เป็น Idea Sketch หลายๆรูปแบบ แต่ละคนก็ออกแบบมาโดยไม่ถามเพื่อนหรือคนรอบข้างเลยเขียนอะไรได้ก็จะใส่มาเลยแล้วเอามาให้ผมดูว่าดีหรือไม่ดี ซึ่งก็จะค่อนข้างไปในรูปทางเดียวกันหมด คือคล้ายๆกัน โดยไม่ได้ค้นข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นก่อนเลย เมื่อไม่ผ่านและได้รับคำแนะนำไปก็จะไปเริ่มต้นกันใหม่ คิดใหม่รวบรวมข้อมูลใหม่ โดยข้อมูลที่เสริมให้ไปคือ การให้ไปดูว่าช่องนี้เค้าทำอะไร ถ่ายทอดอะไร เรื่องราวเป็นอย่างไง เนื้อหาสาระเกียวกับอะไร เป็นของใคร และเค้าทำมาเพื่ออะไร เมื่อมองเห็นสิ่งที่ติเติยนไป (บางคนไม่เข้าใจก็จะเถๆไป) เมื่อได้ข้อมูลที่ถูกต้องและแนวความคิดเข้าที่เข้าทางแล้วก็จะจับหลักถูกว่าจะไปทางไหนและเริ่มที่จะสร้างผลงานที่ดีออกมา หลังจากได้ใช้ความคิดในการกลั่นกรองมาแล้ว” แบบนี้เป็นต้น
จึงสามารถมองเห็นได้ว่า ไอเดียที่ ผมและท่านๆ กำลังหาอยู่นั้น จริงๆ มันก็คือ ความคิดที่ผ่านการกลั่นกรองหาเหตุและผลที่ถูกต้อง มีการวิเคาระห์ สรุป รวบรวมข้อมูล และพัฒนา จนได้ ความคิดที่รวบยอด มีความหมายและเนื้อหาสาระที่ตรงต่อความต้องการของทุกคน และนำความคิด (ไอเดีย) นั้นไปสร้างเป็นผลงานออกมา
หลังจากขั้นตอนนี้เราถึงค่อยเริ่มสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบมาให้สวยงามและตรงตามความคิดหลัก main idea นั้นเอง หรือที่เราเรียกว่า I do ฉันทำได้ ต่อไป……
ทุกวันมีสิ่งใหม่ๆเสมอถ้าเหลียวมองมันสักหน่อย..
by admin on ก.ค..14, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
ยุคนี้เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีจริงๆ ถึงแม้คุณจะอยู่ในอาชีพอะไร วงการอะไร เรียนอะไร เหลือแม้แต่ยากดีมีจนอย่างไงก็ตาม คุณก็ต้องตามเทคโนโลยีให้ทัน
ในสมัยจบมาใหม่ๆ แรกๆ ผมก็เริ่มทำงานเลยด้วยความที่กำลังใจแรง จริงๆก็เรียกว่าทำงานมาตั้งแต่ระหว่างเรียนแล้วล่ะ แต่ที่เรียกว่าทำงานแลกเงินจริงๆ ต้องหลังจากจบ ระหว่างเรียนผมไม่เคยเข้าใจเลยว่า ศิลปะ คืออะไร นอกจาก ความหมายที่มีให้อ่าน จำ หรือว่าพูดๆตามเค้ามา ผมมาเข้าใจจริงๆก็หลังจบมานานพอสมควรและเข้าใจกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงไม่สิ้นสุด สมัยเรียนผมทั้งวาด อ่าน เขียน ถ่ายภาพ ประดิษฐ ปั้น สร้างและรื้อ เพระว่าผมเรียนจิตรกรรมมา จนมาถึงระดับ ปวส ถึงมองทางของตัวเองออก ว่าอยากทำงานทางด้านการ Design เลยไปต่อนิเทศศิลป์ ในช่วงที่ไปเรียนตอนแรกๆ ผมยังจำได้แม่นเลย คือผมเป็นเด็ก ต่างจังหวัดเข้าไปเรียนเมืองกรุง แถมเข้าไปในระดับ 2 ปีหลังอีกตั้งหาก ผลงานผมช่วงแรกๆ ผมใช้วิธีการแบบจิตรกรรม คือ วาดเอง ลงสีเอง และเมื่อไปส่งในชั่วโมงเรียนนั้น ก็กลายเป็นว่าผมคือ แกะดำของห้อง เพราะว่าอะไรหรือครับ ก็เพระว่า คนอื่นๆ นั้น เค้าใช้คอมพิวเตอร์ทำมาส่งกันทั้งนั้นเลย (งานชิ้นแรกที่ส่งคือ การทำ artwork ของตัวหนังสือ) พอตอนส่งอาจารย์มีคนหัวเราะงานของผมด้วยซ้ำ และยิ่งกว่านั้นคือ แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็มองงานของผมด้วยสายตาแปลกๆ แล้วพูดมาว่า “สมัยนี้เค้าใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบกันแล้วเนอะ” ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะไม่ใช่ผมคนเดียวที่ส่งงานแบบวาดมา มีคนอื่นอีก 5-6 คนจากเด็กเกือบ 50 คน แต่คนอื่นๆก็ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์มาส่งทั้งนั้น วันรุ่งขึ้นผมตัดสินใจของเงินแม่ ซื้อคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ซึ่งในตอนนั้นราคามันแพงมากๆ แพงระดับซื้อมอเตอร์ไซค์ได้ 2 คันเลยที่เดียว (เกือบๆ 60,000 บาท) ไม่รู้ว่าแม่หาเงินมาได้อย่างไร ทั้งๆที่มอเตอร์ไซค์ที่บ้านยังไม่มีสักคันเลยด้วยซ้ำ รถเก๋งก็ไม่มี เงินเดือนก็แค่ หมื่นหน่อยๆ ไหนจะค่าใช้จ่ายผมอีกอาทิตย์ละหลายพันเลยที่เดียว ต่ำๆก็ 2000-3000 บาท มาคิดถึงตอนนั้นแล้ว (10 ปีที่ผ่านมา) ผมใช้เงินของแม่ไปมากมายมหาศาลเลยจริงๆ จนทุกวันนี้ผมอายุ 30 แม่ผม 63 เข้าไปแล้วผมยังใช้คืนแม่ไม่หมดเลยมีแต่จะใช้เพิ่ม
แล้วมันเกี่ยวไรด้วยละเล่ามาซะยาว ก็ตั้งแต่ผมได้คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมา ใช้ก็ไม่เป็น เรียนก็ไม่เคยเรียน การเรียนระบบมหาลัยเค้าไม่สอนการใช้งานคอมพิวเตอร์กันนะครับใครเรียนคงรู้ เค้าจะสอนกันเรื่องความคิด การสร้างสรรค์ และการทำงานที่ถูกต้อง ตามระบบของสายวิชาที่เราเรียนเท่านั้น ไม่มีมาบอกว่า เครื่องมือนี้ทำไร จะทำอย่างนี้ทำไง อย่างโน่นทำไง เค้าจะมาพูดเรื่องแนวความคิดและการสร้างแรงบันดาลใจ ขั้นตอนและวิธีการสร้างงานเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่า เมื่อเรามีปัญหาในการทำงานแล้วเราจะไปปรึกษาไม่ได้ ปรึกษาได้ครับเพียงแต่ไม่ใช่ไปทำถามว่าทำอย่างไง ถามในสิ่งที่เราทำแล้วสงสัย ถามในสิ่งที่เราไม่เข้าใจเวลาทำงาน หรือแม้กระทั่งถามว่างานที่ทำอยู่ดีหรือไม่ดี แล้วเราก็จะได้คำตอบที่ดีมาทำงานต่อถึงแม้ว่ามันจะมาในรูปแบบใดก็ตาม และด้วยสิ่งที่เจอมากับเพื่อนๆรอบข้างมันทำให้ผมมีแรงกระตุ้นในการแข่งขันกับเค้าและก้าวขึ้นมายืนได้ในระดับที่เท่าเทียมกัน วัดจากคะแนนที่ได้จากผลงาน ถึงแม้ใครจะบอกว่า คะแนนระหว่างเรียนนั้นมันใช้ไม่ได้กับชีวิตตอนทำงาน แต่ผมก็คิดต่างไปจากเค้าที่ว่า นี่ล่ะคือการประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานแบบจำลองระหว่างเรียน ผมถือว่าผมทำสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้แล้ว
หลังจากได้ลองหัดทำและเรียนรู้การใช้งานของมันจนเข้าใจในระดับหนึ่ง ผมก็เริ่มสร้างสรรค์งานจากคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์สมัยนั้น ระบบ internet ยังไม่ค่อยแพร่หลายมากนัก (ยุค windows 98) กล้องดิจิตอลก็ยังไม่มี ในการสร้างสรรค์งานแต่ละครั้งของยุดนั้น จึงเป็นการสร้างสรรค์งานอย่างแท้จริง คือเราต้องการอะไรก็หามาใส่ในคอมพิวเตอร์เราโดยตรง เช่น ตรงการรูป แก้วน้ำใส่น้ำสีแดงกับแก้วน้ำใส้น้ำสีเขียววางอยู่คู่กัน เราก็ต้องถ่ายรูปล้างฟิลม์นำไปสแกนเข้าคอมพิวเตอร์และค่อยออกแบบตบแต่งงานอีกที งานจะสวยไม่สวยอยู่ที่ว่าเราถ่ายภาพมาได้ดีหรือเปล่า การมาตบแต่งในคอมพิวเตอร์นั้นเป็นส่วนเล็กน้อยแค่นั้นเอง เช่น ใส่ตัวหนังสือ ใส่โลโก้ ตัดส่วนเกินแค่นั้นเอง งานที่ออกมาแต่ละชิ้นเลยมีชีวิตชีวาและเป็นงานต้นแบบอย่างแท้จริงเพราะว่าไม่มีซ้ำใครแน่นอน เปรียบเหมือนงานศิลปะชิ้นนึงเลยที่เดียว ระบบการทำงานสอนให้เรารู้จักวางแผนการทำงาน การ Design ในกระดาษก่อนจะลงมือทำงานจริงหลายๆแบบเพื่อ หาสิ่งที่ดีที่สุด หรือที่เรียกว่า Idea sketch นั้นเอง เพราะว่าอะไรรึครับ เพราะว่างการลงมือทำงานจริงนั้นมันมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งต้นแบบที่จะถ่าย ทั้งฟิลม์ทั้งล้างทั้งอัด ค่าไฟ จะมีไม่เสียเงินคือ Idea ของเรานั้นเอง งานในยุคนั้นๆ จึงออกมาดีมากๆ ดูได้จากการ Design ของสื่อต่างๆในสมัยนั้น
และเมื่อใช้งานจนคล่อง ผมก็หลงระเริงไปกับความเป็นเซียน CG เพราะมั่นใจว่าตัวเองสามารถใช้งาน ทำงานได้ทุกอย่างทุกโปรแกรม และเก่งกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ จนจบการศึกษามาด้วยความมั่นใจ และเริ่มไปทำงานจริงๆ ในช่วงของการทำงานเบื้องหลัง ผมได้พบเจอกับรุ่นพี่หลายๆท่าน ซึ่งแต่ละคนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถและความรู้ และใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่เป็นเลย ผมก็เลยได้เข้าไปทำงานด้วยความรวดเร็วจากความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ พอทำงานไปได้สักพักหนึ่ง ผมได้เห็นงานต่างๆ ของพวกรุ่นพี่ ที่เค้า วาดมาจากมือล้วนๆ และสวยมากด้วย มันทำให้ผมมองหยุดคิดและมองกลับไปว่า ถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์แล้วผมจะสามารถทำงานกับเค้าได้ไหม ถ้าไฟดับแล้วผมต้องส่งงาน สามารถวาดแทนได้ไหม ถ้า windows เกิดล่มขึ้นมาผมจะทำอย่างไง
มันก็เลยย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งคือการสร้างสรรค์งานอย่างมีคุณภาพและระบบด้วยการ Design จากมือก่อนและผมก็ยึดแนวความคิดนี้มาตลอดถึงแม้ว่าการวาดของผมจะไมได้เรื่องเท่าคนเก่งๆ แต่ผมก็สามารถรวมรวบระบบความคิดของตัวเองได้เป็นอย่างดี และในปัจจุบันผมกลับมองว่า คอมพิวเตอร์ทำให้นักออกแบบรุ่นใหม่ทำงานอย่างฉาบฉวย มักง่าย และไร้ระบบการกลั่นกรองความคิด การสร้างงานหนึ่งชิ้น อยากได้รูปอะไรก็ค้นเอาใน internet อยากได้รูปกล้วยไข่ค้นเจอก็เอามาทั้งอย่างงั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นกล้วยหอมก็ตาม เพระว่าอะไรรึครับ เพราะว่ามันเจอมาแบบนั้นจะให้ทำไง แล้วค่อยมาปรับให้เข้ากับงานของตัวเองบางที่ถึงขั้นเปลี่ยนความคิดงานของตัวเองไปเลยว่าใช้กล้วยหอมแทนเพราะว่าไม่มีรูป เรื่อง copy เค้ามาก็อีก เคยได้ยินถึงขั้น copy ไปเถอะไม่มีใครรู้หลอก ครับคนอื่นอาจจะไม่รู้แต่ตัวเองรู้ตัวของตัวเองอยู่แล้วว่าสามารถเอางานนั้นใส่เข้าแฟ้มด้วยความภาคภูมิใจได้ไหม พอว่มีคนติ คนวิจารณ์ก็โกรธและยกเหตุผลมาด้วยความมักง่ายว่าทำได้แค่นี้จะให้ทำไง แทนที่จะเปลี่ยนความคิดว่าเราไม่ได้ซื่อสัตย์กับตัวเองและพัฒนาการทำงานให้ดีกว่าเดิม ทำให้หมดสนุกกับการสร้างสรรค์งานเพราะว่าเอาแต่จับจ้องอยู่กับคอมพิวเตอร์ ไม่เคยแม้แต่จะสร้างงานขึ้นมาเองด้วยการถ่าย การวาด ทำสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ มั่วแต่งมอยู่ในจอคอมพิวเตอร์และ internet ไม่เคยเหลียวไปมองรอบๆตัว ว่ามันมีอะไรมากกว่าในจอคอมพิวเตอร์เยอะที่จะช่วยให้เราพัฒนาความคิด พลังความสร้างสรรค์ และการเอาชนะตัวเองได้เลย และในทุกๆวันก็มีคนรุ่นใหม่เรียนคอมพิวเตอร์ตามมาอีกเรื่อยๆ
เลิกเสียเถอะครับกับความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกคิดว่าเก่ง คิดว่าทำถูกแล้ว ทำได้แค่นี้ หรือทำไม่ได้ตลอดเวลาโดยไม่รับอะไรใหม่ๆเข้าไปบ้างเลย ยังมีอะไรให้ค้นคว้า ศึกษาและเรียนรู้นอกจอคอมพิวเตอร์เสมอ ปรับปรุงพัฒนาและยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง ขยันทำงานและอย่าโทษว่าไม่มีเวลา คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากันเพียงแต่จะใช้งานมันอย่างไงให้มันได้ประโยชน์มากกว่าคนอื่นที่สุด มันจะได้สนุก มีความสุข และภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง…..นะครับคุณนักออกแบบในอนาคต
ฟุตบอลโลก 2010 กีฬาแห่งมวลมนุษย์ชาติ หรือของใคร????
by admin on ก.ค..11, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
วันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายแล้วของฟุตบอลโลกกีฬาแห่งมวลมนุษย์ชาติ ที่ 4 ปีจะมีสักครั้ง แล้ววันนี้จะมาพูดเรื่องอะไรล่ะ ฟุตบอลโลกมาเกี่ยวไรด้วย?
เรื่องของเรื่องคือปีนี้มีสิ่งที่มากระตุ้นและสะกิดใจผมและหลายๆคนให้รู้สึกตัวว่า ต่อไปนี้การที่จะดูกีฬาอะไรสักอย่างต้องเสียเงินดูแล้วไม่ใช่ของฟรีอีกต่อไป!!!!
แต่ที่มาเล่าวันนี้ไม่ใช่จะมาต่อว่าใครรึว่าวิจารณ์ใคร เดี๋ยวจะโดนไล่ออกจาก AF ได้ แต่สิ่งที่จะพูดคือ อะไรคือกลไกที่ทำให้เกิดระบบนี้ขึ้น?
ก่อนจะเล่าเรื่องก็ต้องเกรินก่อนว่า อันตัวผมนั้นไม่ใช่แฟนบอลพันธุ์แท้แต่อย่างใด ไม่ได้ติดตามรึว่ารู้จักนักกีฬาฟุตบอลเพียงแค่เห็นหลังแวปๆ ก็รู้ใครแบบนี้เป็นต้น คือสรุปว่าไมได้เป็นคอบอลง่ะครับ เพียงแต่ชอบดูกีฬาทุกประเภท ดูได้หมดที่เปิดทีวีไปเจอ บอล บาส เทนนิท กอลฟ์ อเมริกันฟุตบอล มวย ฯลฯ คือดูทุกอย่างง่ะครับ เพราะว่าการดูกีฬานี้ มันช่วยให้เราคลายเครียด สร้างความบันเทิงและเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความอยากออกกำลังกายได้เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงแบบเค้าบ้าง นี่คือเหตุผลของผม
แต่….ฟุตบอลโลกมันจะมีเสนห์ของมันเอง คือ เป็นเกมกีฬาที่แข่งกันทั่วโลก หาตัวแทนของแต่ละเขตแต่ละพื้นที่มาแข่งกัน เรียกได้ว่าเป็นสงครามโลกของกีฬาเลยที่เดียว เพราะไรถึงใช้คำว่าสงครามโลกของกีฬาครับ เพราะว่า ฟุตบอลในปัจจุบันนี้ถือเป็นหน้าเป็นตาของประเทศที่สื่อไปถึงการพัฒนาศักยภาพทางด้านกีฬาของประชากรในประเทศนั้นๆ เลยที่เดียว ประมาณว่า ประเทศไหนเล่นฟุตบอลดีแสดงว่าประเทศนั้นมีการพัฒนาทางด้านกีฬาดี ประชาการเล่นกีฬามาก สุขภาพดี และมีความสามารถ พัฒนาด้านกีฬา ซึ่งท่านสามารถค้นข้อมูลได้เลยว่า รอบๆประเทศเพื่อนบ้านเรามีการลงทุนและงบประมาณไปมากมายขนาดไหนในการพัฒนาทางด้านกีฬาประเภทนี้อย่างจริงจัง ยกตัวอย่างเช่น วี ลีก (V-League) เป็นลีกการแข่งขันฟุตบอลในประเทศเวียดนามก่อตั้งในปี พ.ศ. 2523 (ฤดูกาล 1980) และอีกหนึ่งเหตุผลที่ตามมานอกจากเรื่องความเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ของรัฐบาล ของประชาชน มีประโยชน์ด้านสุขภาพ ภาพลักษณ์ที่ดี เป็นตัวอย่างของเยาวชนในประเทศให้อยากเล่นกีฬาแล้ว คือ เงิน เงิน เงิน นี่คือเรื่องที่ผมจะเล่าในวันนี้
ทำไมเรื่อง เงินๆ ทองๆ ถึงมาปนกับกีฬาได้ เรื่องนี้มันก็มีมานานแล้วถ้าเราลองมองย้อนไปดูสมัยก่อนก็มีมาตั้งนานแล้ว ที่ใดมีกีฬาที่นั้นมีการใช้จ่าย และกลไกของมันเริ่มมาจากตัวนักกีฬาก่อน ทำไมถึงเริ่มที่ตัวนักกีฬา ลองมาดูกัน
นักกีฬามีความสามารถ รักกีฬา ชอบกีฬา อยากเล่น อยากแสดงฝีมือ อยากแข่งขัน เลยต้องหาที่แสดงออก —–> การแข่งขันต่างๆ เกิน 80% จัดโดยเอกชน ถึงจะเป็นของรัฐบาลแต่ก็มีเอกชนเข้ามาร่วมด้วยเสมอโดยการสนับสนุนด้านต่างๆ —–> แล้วเอกชนมาร่วมด้วยทำไม ก็อีกครับ เกือบ 80% หวังผลทางด้านการประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์ขององค์กรที่ดี แต่ก็มีบางคน บางกลุ่มที่ช่วยด้วยความเต็มใจไม่ได้หวังผลอะไร —–> ส่วนตัวนักกีฬาเองก็ต้องกินต้องใช้ ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตต่างๆ จะมาเล่นกีฬาอย่างเดียวก็ไม่ได้ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองไปด้วย —–> เมื่อนักกีฬาต้องกินต้องใช้ ผู้ให้การสนับสนุนก็ไม่สามารถซ้อมนักกีฬาได้เต็มที่ถ้านักกีฬาต้องไปทำงานหาเลี้ยงชีพอีกเลยต้อง จ้างนักกีฬาเหล่านี้เป็นเงินเดือนไปเลย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกไปทำงานอย่างอื่นคือจ้างมาเล่นกีฬาอย่างเดียว —–> เมื่อเกิดการลงทุนไปกับนักกีฬา ผู้สนับสนุนก็ต้องมีค่าใช้จ่าย เมื่อมีค่าใช้จ่ายในเชิงธุรกิจก็ต้องคำนวนหาจุดคุ้มทุนที่ลงทุนไป —–> เมื่อจุดคุ้มทุนเกินกว่าที่จะจ่ายไหว เช่น การประชาสัมพันธ์ของผู้สนับสนุนต้องการหวังยอดขายของสินค้าในเครือ เมื่อไม่เพียงพอรึว่าจ่ายมากเกินไป ก็ต้องหาทุนเพิ่มด้วยวิธีการต่างๆ อาจจะมาจากการขายตั๋ว ขายของที่ระลึก ขายลิขสิทธิ์ต่างๆ หรือเมื่อกระทั่งขายสิทธิ์นักเตะในเครือเมื่อไม่ต้องการแล้ว —–> เมื่อทุกอย่างมันเกี่ยวกับเรื่องเงินทองมากขึ้นความซับซ้อนของธุรกิจก็มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนกลายเป็น ธุรกิจแบบเต็มรูปแบบ ทุกอย่างเลยต้องเป็นเงินเป็นทองไปหมดทุกอย่าง —–> และในเมื่อเราอยากดูทีมที่เราชอบเล่นเราก็ต้องจ่ายเงินเพื่อให้มันครบวงจรในกระบวนการธุรกิจ ประมาณว่าเป็นผู้สนับสนุนรายย่อยเพื่อให้ทีมที่เราชอบมาเล่นกีฬาให้เราได้ดูต่อไป ซึ่งถ้าขาดพวกเราคนดู ระบบนี้ก็จะล่มสลายทันที
พอจะมองออกยังครับว่ามันมีผลอย่างไงในเมื่อมันมีการลงทุนที่มากมายขนาดนี้ มีเงินหมุนเวียนระดับหมื่นๆล้านบาท เราคงเคยได้ยินข่าวว่านักกีฬาคนหนึ่งค่าตัวระดับ 300ล้าน ค่าเบี้ยเลี้ยงอาทิตย์ละเป็นล้านบาท เงินจำนวนนี้จะเอาที่ไหนมาจ่าย ก็ต้องหาเงินมาจ่ายให้ได้จากการเก็บลิขสิทธิ์ทุกอย่าง ทุกชนิด ทุกประเภท เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าใช้จ่ายและผลกำไรในการบริหารทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง ซึ่งในบ้านเราตอนนี้ก็มี ที ลีก หรือ ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกแล้ว ระบบก็กำลังจะเริ่มเข้ารูปเข้ารอยคนดูก็เริ่มมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็คงไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆ ต่อไปอีกเรื่อยๆ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบอลโลกล่ะ? ในเมื่อที่พูดมานั้นเป็นบอลระดับสโมสรที่ต้องมีค่าใช่จ่ายในการก่อตั้งเอง บอลโลกเป็นกีฬาของมวลมนุษย์ชาติแล้วมันจะมีค่าใช้จ่ายอะไร ครับบอลโลกก็คือ การแข่งขันฟุตบอลรายการหนึ่งแค่นั้นเอง เพียงแต่ว่ามันเป็นการแข่งขันที่ต้องจัดทั่วโลก การที่จะจ้างทีมงานไปจัดการแข่งขันต่างๆ ทั่วโลก ทั้งกรรมการ ทีมงาน นักกีฬา ที่พัก อาหาร ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าสนาม ค่าประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ทุกอย่างต้องใช้เงินในการดำเนินการทั้งนั้น แล้วจะเอาจากไหนล่ะครับมากมายขนาดนี้ ก็แน่นอนละครับก็ต้องหาผู้ให้การสนับสนุน หรือ ที่เราคุ้นหูคือ สปอนเซอร์ ยิ่งกีฬานั้นๆ ได้รับความนิยมมากขนาดไหน ก็ยิ่งมีคนอยากให้การสนับสนุนมากตามมา เมื่อผู้ให้การสนับสนุนนั้นต้องการสนับสนุนเพระว่าหวังผลในเชิงธุรกิจจากการสนับสนุนนี้และมองเห็นแล้วคุ้มค่าแก่การลงทุน ลงทุนแล้วทำให้มีผลกำไรต่อองค์กร ก็ต้องแย่งชิงกัน และยิ่งเป็นฟุตบอลโลกที่คนทั้งโลกอยากดูอยากชม ก็ยิ่งทำให้เกิดการแย่งชิงกันอย่างมากมายและมีมูลค่ามหาศาล ผู้สนับสนุนก็ต่างต้องการได้ไว้ในครอบครองแต่เพียงผู้เดียวเพื่อการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับผลเชิงธุรกิจ บอลโลกเลยไม่ใช่กีฬาที่จะดูฟรีอีกต่อไปแล้ว มีการแย่งลิขสิทธิ์กันอย่างมากมายในแต่ละประเทศ อย่างเช่นประเทศไทยของเรา
ผลที่ตามมาคือการถือครองสิทธิ์ในการนำเสนอ แพร่ภาพ และการควบคุมการนำไปใช้ในเชิงธุรกิจทุกอย่าง การขายสิทธิ์ในการนำไปใช้ แพร่ภาพ และทุกอย่างที่เกี่ยวกับฟุตบอลโลก อย่างบ้านเราประเทศไทย มีการขายสิทธิ์ในการแพร่ภาพ จากผู้ที่ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาอย่างถูกต้อง โดยที่เราเห็นอยู่นี้เป็นการขายสิทธิ์ต่อมาอีกหลายทอดแล้วกว่าจะมาถึงมือผู้ถือสิทธิ์ในปัจจุบัน ใครจะนำไปเผยแพร่ต่อไม่ได้ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ทุกคน เช่น ร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่เปิดให้ลูกค้าในร้านดูต้องจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์และขอสิทธิ์ให้ถูกต้อง ตามที่เค้ากำหนด (ร้านอาหารเพื่อนผมจ่าย 10,000 บาทในการเปิดให้ลูกค้าดู) และที่เป็นเรื่องในบ้านเราคือการตัดสัญญานจากดาวเทียมให้ชมได้แค่การถ่ายทอดสัญญานจากคลื่นความถี่เดิมของบ้านเรานั้น ก็มีผลมาจาก การที่สัญญานจากดาวเทียมนั้น ใครก็สามารถดูได้ถ้าปรับคลื่นความถี่ให้ตรงแค่นั้นเอง ซึ่งมีผลเสียต่อคนที่ซื้อลิขสิทธิ์มาแต่คนอื่นไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาแต่ได้ชมฟรี เช่นประเทศเพื่อนบ้านเรา ก็เลยมีการฟ้องร้องกันจนถึงขั้นมีการตัดสัญญานการถ่ายทอดจากดาวเทียมเมื่อถึงเวลาถ่ายทอดเลยทีเดียว แต่ก็มีบางคลื่นความถี่ที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปสามารถดูได้ปกติเพียงแต่ต้องซื้อของเค้ารึว่าจ่ายเงินให้เค้าแค่นั้นเอง อย่างที่บ้านผมเพิ่งติดจานใหม่ๆ ก็อดดูบอล ถึงขั้นต้องเปลี่ยนอุปกรณ์รับสัญญานใหม่ (ซื้อใหม่) เพื่อจะได้ดูฟุตบอลโลกครั้งนี้ และเมื่อวานกับวันนี้ ที่กลางเมืองในจังหวัดผมมีการถ่ายทอดสดจอใหญ่เพื่อให้ทุกคนมานั่งดูนั่งชมมีการขายของ ขายเครื่องดื่มและที่นั่งให้ชมเรียบร้อย มีดนตรีให้ฟังก่อนถ่ายทอดจากวงดนตรี และแน่นอนการนำสินค้าเข้ามาขายในพื้นที่ตรงนี้ต้องเป็นสินค้าที่เป็นของผู้ให้การสนับสนุนเท่านั้น เมื่อกระทั่งเพลงจะนำมาร้องบนเวทีก็ต้องเป็นของค่ายที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น !!!!!! (ฟังมาจากนักร้องเอง) ห้ามร้องเพลงค่ายของคู่แข่งเด็ดขาด …
เห็นไหมครับว่าฟุตบอลโลก 2010 กีฬาแห่งมวลมนุษย์ชาติ มันวุ้นวายซับซ้อนขนาดไหน และไม่ใช่แค่ฟุตบอลโลกอีกต่อไปแล้ว ต่อไปกีฬาแทบจะทุกประเภทที่ได้รับความนิยม การแข่งขันทุกรายการที่ได้รับความนิยม (โอลิมปิคเป็นต้น) จะมีเรื่องของลิขสิทธิ์เข้ามาแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ใครจะเป็นอย่างไรต่อไปไม่อาจจะรู้ได้ เพียงแต่ก็ยังดีที่บ้านเรายังสามารถดูฟุตบอลโลกได้อย่างประเทศอื่นเค้า บางประเทศดูถ่ายทอดสดไม่ได้เลยนะครับ ต้องดูเทปการแข่งขันเอา เลวร้ายกว่าบ้านเราเยอะ ที่มาเล่าให้ฟังนี้ก็เผื่อมีคนไม่รู้ที่มาที่ไปว่าทำไมต้องล็อกสัญญานก็เลยนำมาเล่าซะเลย อาจจะมีผิดบางก็ต้องขออภัยเพราะว่านี้เป็นความรู้ของผมเองที่รับรู้มาไม่ใช่นักธุรกิจมืออาชีพ รู้เป็นบางอย่าง ก็อาจจะมีประโยชน์ต่อคนที่เข้ามาอ่านบ้าง ส่วนตัวผมนั้นวันนี้ก็จะดูรอบชิงชนะเลิศอย่างมีความสุขไปพร้อมๆกับเพื่อน ก็แน่นอนละ 4 ปีมีครั้งนี้แล้วผมก็คอกีฬาซะด้วยสิ เชียร์อย่างมีสตินะครับอย่าไปทุมเล่นการพนันมันจะหมดตัว กลายเป็นความทุกข์มากว่าความบันเทิง…….
เรื่องของ บล็อก(Blog) มันคืออะไรว้า….
by admin on ก.ค..09, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
จริงๆ คำว่า บล็อกใน สาระบบของ internet ผมก็ได้ยินมาค่อนข้างนานมากแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นไม่ค่อยได้สนใจกับมันเท่าไร ตอนนั้นกำลังวุ่นวายอยู่ PHP ล้วนๆ อยากเขียนเองแต่ก็ต้องล้มพับโครงการไปหลายๆครั้ง เพราะว่าเมื่อเริ่มลงมือทำก็รู้เลยว่า งานนี้ช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก ใช้เวลาทำค่อนข้างนานและบวกกับความไม่ชำนาญของผมเอง ทำให้เวลาทำแต่ละครั้ง เมื่อวางมือไปแล้วกลับมาทำต่อ มันจะชอบลืมและต้องมารื้อทำกันใหม่หมดเลยตั้งแต่แรกเป็นประจำทุกครั้ง จนมาช่วงหนึ่งที่โลก It ของเราได้เกิดยุค CMS (Content Management System) ขึ้นมาและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง CMS คือไรครับ แปลง่ายๆเป็นภาษาบ้านเราก็คง ระบบจัดการข้อมูล ข้อความ เนื้อหา หรือขอพูดตามความเข้าใจของตัวเองคือ มันคือโปรแกรมสำเร็จรูปที่ออกแบบมาจัดการเนื้อหา บทความข้อความ ของเราบนระบบ internet นั้นเอง ทำไมถึงได้รับความนิยมสูงล่ะ? ก็แน่และครับเพียงคุณมีความรู้สักเล็กน้อย บวกกับมีความเข้าใจในภาษาอังกฤษและระบบ network ซักหน่อย เพียงแค่คลิกไม่กี่ครั้ง ก็มี website หน้าตางามๆออกมาได้เลย และที่สำคัญ ฟรีครับ!!!! มีเซียนจากทั่วทุกมุมโลก มาช่วยกันพัฒนาต่อยอดจากของฟรีที่เขียนมาออกง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่น คนแรก พัฒนาออกมาให้สามารถเก็บบทความและจดจำวันที่ สามารถเรียกขึ้นมาใช้งานได้ในวันหลัง พอเวลาผ่านและมีคนมารวมกลุ่มกันมากๆเข้า พัฒนากันไปคนละนิดคนละหน่อย จากที่มันแค่จำวันที่ที่ลงข้อมูลและเรียกขึ้นมาดูได้ในวันหลังก็กลายเป็น CMS ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนบางครั้งมันก็มากเกินความต้องการและความสามารถของผู้ใช้ไปหน่อย ขนาดผมว่าพอรู้เรื่องบางก็งงไปกับระบบที่ยุ่งยากซับซ้อนมากมายจนเกินความต้องการ เพระว่าอะไรรึครับ เพระว่าผู้พัฒนา พยายามใส่ความสามารถมันลงไปทุกอย่าง มีร้อยคนก็ใส่ลงไปร้อยอย่าง จากที่ผู้ใช้ต้องการเพียงแค่ website ที่สามารถเก็บข้อความได้ ก็กลับกลายเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่วุ่นวายในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับเรา มีความซับซ้อนเกินความเข้าใจไป ……ผมคงไม่ใด้มองเห็นและคิดเรื่องนี้ได้อยู่คนเดียวแน่ๆ เพราะว่าในปัจจุบันมีผู้พัฒนา CMS ออกมามากมาย หลายแบบ หลายรุ่น หลายอย่าง ตามความต้องการของผู้ใช้ที่แตกต่างกันออกไป ผลที่ตามมาก็คือ พวกเรานั้นเองครับ ที่โชคดีได้ใช้ระบบ ที่เค้าพัฒนามาให้ใช้ฟรีๆ ไม่ต้องเสียเงินเลย แถมพัฒนาต่อยอดไปได้อีกตามความซุกซนของเรา ^^
ฉะนั้นในปัจจุบันนี้ การที่ คุณๆ ท่านๆ พี่ๆ น้องๆ หรือ อาก๋ง อาม่า จะมี website ของตัวเองซักที่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแปลกใหม่อะไรมากมาย สามารถทำได้ด้วยตัวเองง่ายๆ หรือ ในปัจจุบันนักศึกษาก็มีความรู้ความสามรถเพิ่มมากยิ่งขึ้น อาจจะขยายวงกว้างเข้าไปถึงระบบการศึกษาช่วงชั้นแรกๆ เลยด้วยซ้ำ เด็กประถมบางคนก็มี website เป็นของตัวเองได้แล้ว ขอเพียงพิมพ์ข้อความบนแป้นพิมพ์เป็นแค่นั้นเอง หรือง่ายกว่านั้น Host ต่างๆในปัจจุบันนี้ก็มีบริการ อำนวยความสะดวกมากมายในการสร้างสรรค์หรือว่าดูแลให้ได้เพียงเราส่งข้อมูลข้อความที่ต้องการไปให้ทางเค้าจัดการให้ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เห็นไหมครับ ง่ายนิดเดียวเอง …..นอกเรื่องมาซะนาน เข้าเรื่องละ
ตามหัวข้อวันนี้คือมีนักศึกษาและเพื่อนบางคนถามผมว่าบล็อก (Blog) คือออะไร? ต่อไปนี่จะใช้คำว่า Blog ง่ายต่อความเข้าใจและจำภาษาต่างด้าวไปในตัว
Blog คือ ระบบ CMS (Content Management System) หรือที่อธิบายไปแล้วว่า คือระบบจัดการเนื้อหาประเภทหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถในการ จัดการบทความต่างๆที่ ผู้ควบคุมสามารถเพื่มบทความและสามารถปรับแต่ง ข้อความต่างๆ ได้ตามความต้องการ เช่น เผยแพร่ ปิดบัง กำหนดกลุ่มผู้อ่านได้ ตั้งระยะเวลาการเผยแพร่ล่วงหน้าหรือหมดอายุของบทความได้ ซึ่งถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ คนที่เคยใช้งาน CMS ทั่วไปก็จะบอกว่า “อ้าวก็ไม่เห็นจะแตกต่างจากที่ใช้อยู่เลยซักเท่าไร” ครับก็จะคล้ายๆกับ CMS ประเภทอื่นๆ เพียงแต่ว่า Blog นั้น เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อการนำเสนอบทความต่างๆ ของผู้ควบคุม เนื้อหา และสิ่งที่นำมาเสนอนั้น โดยส่วนมากจะนิยม นำมาใช้เกี่ยวกับการนำเสนอเรื่องราว ประสบการณ์ หรือเอาเข้าใจง่ายๆ ก็ ไดอารี่ส่วนตัวที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาอ่านได้ แถม Blog นั้นยังมีระบบ interactive ระหว่างผู้เข้ามาเยี่ยมชมสามารถแสดงความคิดเห็นต่อบทความเราได้อีกด้วย ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับกลุ่มบุคคลที่ต้องการพิมพ์ นำเสนอ ชอบเขียน ชอบเล่า และต้องการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ โดยมีรูปแบบการใช้งานที่ค่อนข้างง่ายไม่ซับซ้อนและทำความเข้าใจได้รวดเร็ว นี่คือ Blog
จะเห็นได้ว่าการนำเสนอและวิธีการใช้งานตามความต้องการของผู้ใช้มีส่วนอย่างมากในการกำหนดแนวทางในการพัฒนาเป็นอย่างสูงอย่าง Blog ตัวที่ผมใช้อยู่เนี้ย บอกตรงๆ ผมก็เพิ่งจะรู้จักได้ไม่นานมานี้เอง นั้นคือ wordpress (สามารถค้นข้อมูลได้ใน google) ซึ่งก็เป็น สคลิปสำเร็จรูป ใช้เวลาในการติดตั้งไม่ถึง ครึ่งชั่งโมงสำหรับมือใหม่และ 5 นาทีสำหรับมืออาชีพ ก็จะได้ Blog หน้าตาแบบนี้ออกมาใช้งานได้แล้ว น่าทึ่ง จริงๆครับ และไม่ได้มีแค่ wordpress อย่างเดียวนะครับในปัจจุบันมามากมายหลายรุ่นหลายแบบ หลายผู้พัฒนามากมายจริงๆ ก็สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการของท่านเลยครับ ท่านใดสนใจและอยากมี Blog เป็นของตัวเอง ก็สามารถศึกษาข้อมูลเพื่อเติมได้ที่ http://th.wordpress.org/ พร้อมทั้งวิธีการติดตั้งและการใช้งานต่างๆ เป็นภาษาไทยครับ การปรับแต่งไม่ยากยิ่งถ้าเป็นเด็กสมัยใหม่นี้ง่ายไปใหญ่ คล้ายๆกับกำลังเล่น Hi5 ที่ชอบเล่นกันเลยนั้นล่ะ วันนี้ก็คงจะจบไปกับเรื่อง Blog กันไปกอ่นครับ วันนี้มีโปรแกรมดูหนังเรื่อง The Losers ดูเสร็จแล้วจะมาเล่าให้ฟังใน หมวดของ หนังที่เพิ่งดูมา นะครับ วันนี้ขอตัวเลยละกันครับ
บล็อกครั้งแรกกับนายหนุ่ม
by admin on ก.ค..08, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
วันนี้ก็ได้ลองอะไรใหม่ๆ หลังจากงงๆ งูๆ ปลาๆ ลองผิด ลองถูกมาหลายครั้ง ว่าจะทำ web ของตัวเองให้มันมีหน้าตาอย่างไงดี ลองใช้มาเกือบจะทุกอย่างแล้ว ในบรรดา สคลิปที่มีใช้ เลือกใช้ของฟรีอย่างมากมาย ของคนอื่นก็ทำให้เค้ามาเยอะแล้ว ของงานประจำก็นั่งทำมาร่วมๆ 5 ปี (ที่ทำงานเก่า) จนวันนี้ได้ย้ายมาทำงานที่ใหม่ (จริงๆ ย้ายมาเกือบปีแล้ว) ก็เลยมีความคิดที่ว่าจะทำ web ประมาณ เผยแพร่ความรู้ (มั่วๆ) ของตัวเอง ที่ค้นคว้ามา อ้อลืมบอก….งานใหม่คือ ครู(จ้างสอน) หรือเรียก ตามภาษาที่เค้าเรียกกัน คือ ครูพิเศษสอน ที่โรงเรียนอาชีวะ แห่งหนึ่ง ยังไม่แน่ใจว่าจะเปิดเผยที่ทำงานได้ไหม ไว้ถ้ามันไม่มีอะไรเกินคาดแล้วจะมาบอกละกันครับ หลักๆของ บล็อก ก็คงจะเป็นเรื่องทั่วไป สิ่งที่นำมาสอนนักศึกษา และสิ่งที่ได้ไปพบไปเจอ ที่ค้นคว้าเจอมา หรืออาจจะคิดเอง อาจจะจริงมั่ง มั่วมั่ง เชื่อได้รึไมได้ก็ไม่สามารถจะยืนยันได้เท่าไรเพระว่า โดยส่วนมากแล้ว 99% มาจากใน internet ล้วนๆ ฉะนั้นออกจะแนวๆ ความคิดส่วนตัวซะมากกว่า
เมื่อวาง concept ของ web ได้แล้วก็เลยมาลงที่ ทำเป็น บล็อก ดีกว่า (ได้พี่ชายช่วยทำให้ด้วย ตอนแรกมีปัญหาเรื่อง SQL ต่ำไป) เพราะว่าค่อนข้างที่จะมีรูปแบบไปในทาง เผยแพร่หรือออกแนวไดอารีส่วนตัว โดยคนที่เข้ามาดูส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ นักศึกษา ก็คงจะเป็นเพื่อนๆ ที่ผมชวนให้มาอ่านและแนะนำอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อ บล็อก แห่งนี้
จุดประสงค์หลักๆ ก็คง รวบรวมความรู้และประสบการณ์ เรื่องราวต่างๆ และที่นักศึกษาต้องการมากที่สุดเลยคือ อยากรู้ว่าคะแนนของเค้าเป็นอย่างไรบ้างในแต่ละวิชา กับเรื่องของเนื้อหารายวิชาที่สอนไปแล้ว
สิ่งที่คาดหวังก็คงไม่มีไรมากไปกว่าคงจะมีประโยชน์กับคนที่หลงเข้ามาอ่านบ้าง และกับนักศึกษาโดยตรงไว้ติดต่อกันพูดคุยกับนอกรอบ นอกจากห้องเรียน ให้ได้นำเสนอความคิดของตัวเองบ้าง เพราะว่าในชั่วโมง ผมจะพูดคนเดียวซะหมดไปแล้ว เหอๆๆ
……อืมมม…….พูดไปพูดมาถ้าจะยาว สงสัยงานใหญ่ แต่คงทำไปเรื่อยๆ เพระว่าวันๆก็นั่งอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เกินวันละ 10 ชั่วโมงอยู่แล้วคงจะมีเรื่องไรมาเขียนมั่งล่ะน่า….
งั้นก่อนอื่นเรื่องแรกที่จะเล่าให้ฟังเลยคือ (ยังปรับปรุงหน้าตามันไม่ค่อยจะเป็นเลยลองดูละกัน) จะอธิบายเรื่องราวของ บล็อก ก่อนว่ามันคือไร? แล้วทำไม ถึงเป็น บล็อก? แล้วทำไมต้องเรียกว่า บล็อก? ใช้งานอย่างไง? ก่อนเลยดีกว่าเพราะว่ามีคนถามกันมามาก ย้ำอีกครั้งนะครับ เป็นข้อมูล บทความที่มั่วๆ ขึ้นมาเองโดยอาศัยข้อมูลที่เจอมาเรื่อยๆ และความคิดตัวเองเป็นหลัก ฉะนั้นถ้ามีผิดพลาดอะไรก็ โต้แย้งมาได้เลยนะครับ เอาละ รวบรวมข้อมูลก่อน…….