Archive for มีนาคม, 2016
Graffiti? Street art? คืออะไร???? ตอนที่#3
by admin on มี.ค..31, 2016, under ครูหมีขี้บ่น
Graffiti? Street art? คืออะไร???? ตอนที่#3
จากผู้เขียน
….บทความต่อจากนี้เป็นความคิดเห็นและความรู้เท่าที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ได้เป็นมาตรฐานหรือบรรทัดฐานหรือข้อเท็จจริงแต่ประการใด เป็นเรื่องของการรวบรวมความรู้ประสบการณ์ของตนเอง และที่อ่านๆมาอันน้อยนิดที่อยากจะบรรยายออกมาเท่านั้น…..
Graffiti หรือที่คนไทยเรียกกันว่า กราฟฟิตี้ หมายถึง “รอยขูดขีดบนผนัง” เป็นคำศัพท์ที่มาจากภาษากรีก คือคำว่า graphein ที่แปลว่า”การเขียน” และคำว่า “graffiti” โดยตัวของมันเองเป็นคำพหูพจน์ของคำว่า “graffito” ในภาษาอิตาเลียน #5 กล่าวย้อนไปจนถึงในสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เริ่มเขียนภาพจิตรกรรมครั้งแรกบนผนังถ้ำอัลตามิรา (ALTAMIRA) ประเทศสเปน ซึ่งเขียนเป็นภาพ “วัวไบชัน” #6 10,000 กว่าปีที่แล้วอันถือว่าเป็นภาพจิตรกรรมยุคแรกๆของมนุษย์เลย (ออกข้อสอบบ่อยมากครับเรื่องนี้ตั้งแต่ประถมยันสอบเข้ารับราชการครูศิลปะ) นั้นถือเป็น Graffiti ชิ้นแรกๆด้วยเหมือนกัน
ฉะนั้นเมื่อเหล่าศิลปินถือว่าภาพ “วัวไบชัน” ที่กล่าวมานั้นเป็น Graffiti ซึ่งจริงๆตามหลักวิชาการศึกษาของศิลปะ นั้นคือ งานจิตรกรรม (Printing) ก็สามารถพอจะสรุปได้ว่า Graffiti คือ จิตรกรรมฝาผนัง ตามที่เราเข้าใจนั้นเอง…….. แล้วทำไม อยู่ๆถึงกลายมาเป็น Graffiti ล่ะ???? คำศัพท์เท่ๆ เรียกยากๆ แบบนี้มาจากไหน ตามข้อความข้างบนที่กล่าวถึงคำว่า Graffiti โน่นเลยมาจาก ภาษากรีก มาจนภาษาอิตาเลียน ซึ่งถ้าแปลกันตรงๆตัว คือ “การเขียน” นั้นเอง แม้จะเปิดหาในแหล่งข้อมูลที่ไหนก็จะไม่พบความหมายจริงๆเท่าไรส่วนมากเป็นการ กำหนดขึ้นมาใหม่ และกำหนดกันเองเท่านั้น เพราะอาจจะเป็นคำเฉพาะคือคำโบราณในยุคนั้นๆ แล้ว….สรุป Graffiti มาอย่างไง
Graffiti กำเนิดขึ้นมาโดยกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในย่าน มหานครนิวยอร์ก อเมริกา ช่วงปี 1960-1970 (ครูยังไม่เกิดเลย) ช่วงนั้นมีการแบ่งแยกสีผิวรุนแรงมากในนิวยอร์ก ประกอบกับเกิดดนตรีสไตล์ใหม่ Rap และ Hip Hop พัฒนามาจากดนตรี R & B และBlues ของกลุ่มคนผิวสีแต่ด้วยจังหวะและทำนองที่ส่วนมากใช้เครื่องดนตรีชนิดสาย เป่าและเคาะ ทำให้วัยรุ่นในช่วงนั้นไม่ค่อย อิน เท่าไร (คงเหมือนเราที่ต้องฟังที่ ตูน จะไปแตะขอบฟ้า นั้นล่ะ จะไปฟังลายไม้คงหลับ) เลยพัฒนาใส่ดนตรีสังเคราะห์ลงไป เพิ่มจังหวะที่ตื่นเต้นเร้าใจวัยรุ่นเลยโดนใจวัยรุ่นยุคนั้นเป็นอย่างมาก แล้วดนตรีมาเกี่ยวไรกับ Graffiti เพราะโดยส่วนมากดนตรี Rap และ Hip Hop จะมีเนื้อหาที่เป็นแนวเสียดสีสังคมมากๆ และในช่วงนั้นความเป็นคนผิวสีทำให้ถูกกดดันจากสังคมคนขาวมากพอสมควรในเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดการต่อต้าน การแสดงออก ความกดดัน ความต้องการระบายความในใจ ไปให้คนทั่วไปได้รู้สึกประกอบกับมีดนตรีที่เป็นสื่อช่วยเร้า จึงเกิดการเขียนเป็นข้อความต่างๆ ทั้งสาปแช่ง คำด่า คำท้าทาย คำสบถ ตามสถานที่ต่างๆ และเพื่อความรวดเร็วในการงานนั้นจึงเลือกใช้ “สีสเปรย์” ในการสร้างผลงานแทนการ ใช้พู่กัน หรือแปรงทาสีทั่วไป เพราะไม่งั้นอาจโดนจับติดคุกได้
และเมื่อดนตรี Rap และ Hip Hop เข้มามีส่วนผลักดันในการสร้างสรรค์งาน Graffiti จึงเริ่มมีการเพิ่มความละเอียด จุดเด่น ความสามารถในการสร้างสรรค์งาน Graffiti ให้มีความน่าสนใจ มีเอกลักษณ์ ผู้คนจำจดได้ จึงเกิดงาน Graffiti ที่เรียกว่า wicked style #7 ซึ่งเป็นประดิษฐ์ข้อความที่มีลายเส้นที่ตื้นเต้นเร้าใจ ซึ่งภายในงานของกลุ่ม ลพบุลุย ทีสร้างสรรค์งานที่มาลัยราคา จะมีอยู่คนนึง ชื่อว่า ป็อด งานอยู่ตรงลิงพ่นสเปรย์ ด้านซ้ายถ้าหันหน้าเข้านั้นล่ะครับคืองาน wicked style ส่วนทางด้านขาวที่เป้นตัวหนังสือ LOPBURUI นั้นที่ครูหมีอ้วนทำกับเพื่อนหัวเหม่งและน้องๆที่มาแจมอีกหลายๆคนนั้น ยังไม่ใช่ wicked style เป็น Graffiti ที่ออกแนว POP ART ซะเยอะ……….
…..จบ ตอนที่ 3 (วันนี้ได้เข้าเรื่องมาพอสมควรยังๆ ยังไม่จบครับ ฮ่าๆๆๆ โม้ได้อีกเยอะ ไว้รออ่านกันต่อครับ)
อ้างอิง
#5 ประวัติความเป็นมาของgraffiti http://www.bkkgraff.com/
#6 ศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic) http://www.ipesk.ac.th/ipesk/home/VISUAL%20ART/lesson410.html
Graffiti? Street art? คืออะไร???? ตอนที่ 2
by admin on มี.ค..30, 2016, under ครูหมีขี้บ่น
Graffiti? Street art? คืออะไร????
ตอนที่ 2
หลังจากสตั้น….กับภาพตรงหน้าที่เห็นที่ว่างมหาศาล ก็เลยเกิดความลังเลว่าจะทำดีไหม “กลัวจะทำแล้วไม่รอด” กลายเป็นที่หมาเยี่ยวขึ้นมาละแย่เลย ท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว 6 โมงกว่าแล้ว เพื่อนหัวเหม่งของครูก็ชวนบอก “ทำไปเหอะ สนุกๆ กันคิดอะไรมาก” หลังจากประเมินด้วยสายตาคราวๆแล้วงานนี้คงจะใช้เวลาไม่เกิน 2-3วัน ก็น่าจะเสร็จ ก็เลยลองหยิบมือถือขึ้นมาสเก็ต (Sketch) ลองขยับโน่นนิด นี้หน่อยก็เออ พอได้อยู่นะเนี้ยไม่ต้องอะไรมาก วาดรูปครูหมีอ้วนนี้ล่ะ “ง่ายดี” อย่าคิดเยอะเอาสนุกเข้าว่า ก็เลยลงมือร่างภาพ เมื่อตอนทุ่มกว่าๆ เริ่มมืดไม่มีแสงแล้ว หลังจากร่างเสร็จ ก็ได้หน้าหมีเบี้ยวๆ มา 1 ภาพ ….หันไปมองของเพื่อนหัวเหม่งมันร่างเสร็จนานแล้ว…..ก็เลยบอก เออแค่นี้ล่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาลงสีกันเนอะ เพื่อนหัวเหม่งก็บอก “เออได้ พรุ่งนี้เจอกัน” “อืม พรุ่งนี้เจอกัน 4 โมงเย็น เด๋วตู (ครูหมีอ้วน) เอาแปรงมา สีมีไหมวะ” มันบอก “ไม่รู้ว่ะ” …… งั้นสรุปเด๋วพรุ่งนี้หาสีมาด้วยเลยละกัน…….
วันรุ่งขึ้นก็มาทำงานที่โรงเรียนตามปกติ พอใกล้ 4 โมงเย็น ก็เตรียมตัวขนอุปกรณ์ สี ถังน้ำ พู่กัน ที่พอมีอยู่ขึ้นรถเก๋งคู่ใจขับเข้าเมืองไปซื้อสีเพิ่ม โดยเพื่อนหัวเหม่งซื้อสีดำมา 1 แกนลอน ส่วนครูนั้นเอาสีเทาที่ผสมไว้ เหลืออยู่จากงานเก่า และสีขาวประมาณ 1 แกนลอนมาแค่นั้น เพราะจากภาพที่ร่างไว้เมื่อคืน คำนวณแล้วใช้แค่ 3 สี คือ สีดำ เทา ขาว แค่นั้น มีส่วนใช้สีแดง นิดหน่อยเด๋วไปขอน้องๆ ที่โน่นเอาคงจะมีมั่ง 😛 ……
พอ 4 โมงเย็นก็ขับรถขนของไปที่หน้างาน แดดร่มลงแล้ว พอที่จะลงมือทำงานได้อยู่ ไปถึง ก็ลบ…..ภาพที่ร่างไว้เมื่อคืนออกก่อนเพราะร่างภาพไม่ได้เรื่องเลย เบี้ยวมากๆ ฮ่าๆๆ มืดด้วย แล้วก็เป็นการทำงานที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ไม่มีแบบเลยจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่จากเมื่อคืนที่ร่างภาพในมือถือ คร่าวๆ แล้ว ก็กลับไปลองใช้ Photoshop ลองตัดต่อภาพแบบใหม่ให้สมบูรณ์มากขึ้น Print ออกมาเพื่อใช้ในการร่างภาพ ซึ่งเป็นการทำงานที่ถูกต้อง เพราะไม่ว่าเราจะทำงานอะไร “ศิลปะ” แบบไหนก็ต้องมีการ สเก็ต (Sketch) ก่อนทำงานเสมอ เพื่อเป็นการรวบรวมความคิด ลดขั้นตอนในการทำงาน และสร้างความมั่นใจในการทำงานให้ตัวเรานั้น มั่นใจแน่วแน่ว่า “ตัวเองกำลังทำอะไร”
ผลจากการสเก็ต (Sketch) และเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทำให้การทำงานร่างภาพใหม่อีกครั้งนั้นมีความคล่องตัวและแม่นยำมากขึ้น การทำงานในวันนี้เลยง่ายขึ้น ร่างและเริ่มลงสีได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ก็ลงสีเสร็จทั้งภาพ…….. (ก็มีอยู่สีเดียวเอง สีดำ ฮ่าๆๆๆ) พอลงสีเสร็จก็ขยับออกมาดูคนอื่นวาดมั่ง มองไปก็เห็นคนวาดภาพอยู่ อีก 4 คน คือ เพื่อนหัวเหม่งของครูหมีอ้วน และ ครูเสรี ครูที่โรงเรียนสาธิตฯ แม่งานของงานนี้ น้องข้างๆอีกกลุ่มที่กำลังทำงานอยู่ (จำชื่อไม่ได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ) และน้องเบียร์กับเพื่อนน้องเบียร์ (ชื่อไรจำไม่ได้จริงๆ….รู้สึกจะมีปัญหาเรื่องการจำชื่อมากๆเลยสำหรับครูหมีอ้วน) ที่วาดภาพลิง แบบเรียลลิสติก (Realistic) #3. ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นศิลปินคนเดียวที่วาดแนวนี้ ที่เหลือส่วนมากจะเป็นแนว POP ART #4. หมดเลย ครูหมีอ้วนค่อนข้างสนใจน้องคนนี้มากเพราะงานมีความน่าดึงดูดใจมากๆ เลย สวย มีทักษะที่ดีมาก มารู้ตอนหลังว่าเป็นลูกสาวของอาจารย์สมชาย (วันนั้นเจอแต่หวัดดีไม่ทันเพราะไม่แน่ใจว่าใช่ไหมเพิ่งเคยเจอครั้งเดียวตอนออกงานที่วังนารายณ์ ฝากไปสวัสดีด้วยนะครับ) ลูกไม้ตกไม่ไกลต้นจริงๆ เก็บประสบการณ์อีกหน่อยคงจะพัฒนาได้อีกไกล
ที่นี้คงจะได้เข้าเรื่อง ตามหัวข้อจริงๆจังซะที ตามหัวข้อว่า “Graffiti? Street art? คืออะไร????” เพราะอะไรถึงพูดถึงเรื่องนี้ เพราะ ………… ช่วงนี้ในประเทศไทยของเรา กำลังนิยมอะไรที่มัน อาร์ตๆ (ART) บางอย่างก็ฟังเค้ามา เรียกกันพูดกันจนติดปาก เคยปาก ว่า Graffiti , Street art จนบางครั้งถึงขั้นทะเลาะกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต ว่า พวกคุณผมกลุ่มนี้ กลุ่มนั้น กลุ่มโน่นไม่ใช่ กลุ่มนี้ของปลอม พวกผมของจริง แบ่งแยกชนชั้นกันเอง อย่างกับยุคสงครามกลางเมือง ซึ่งจริงๆ #ก็ไม่ได้แปลกธรรมชาติของมนุษย์ เท่าไร ที่พยายามสร้างความแตกต่างของกลุ่มตนเอง เพื่อขึ้นเป็นผู้นำเหมือนกับการแบ่งลักษณะของประเภทดนตรี การแสดงการร้อง การเต้น ที่ในปัจจุบันนั้นแยกออกมาไม่รู้จะกี่ประเภท แตกแขนงออกมายิบย่อยเต็มไปหมด ทั้งที่แยกออกมาอย่างมีเอกลักษณ์ หรือแม้กระทั่งตั้งขึ้นมาเองโดยใช้คำพูด ภาษาวัยรุ่นในยุคนั้นๆ เรียกกันไปมา จนเคยชินจนเกิดเป็น กลุ่มขึ้นมา ทั้งๆที่ จริงๆ แล้ว มันก็คือ “งานศิลปะ” ศิลปะที่มีความหมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยความพึงพอใจของตนเอง ไม่ได้ต้องไปทำให้ใครพอใจ หรือ ตามใจใคร แค่ตนเองมีความสุขกับผลงานของตัวเองก็เพียงพอแล้ว………..
…….จบ ตอนที่ 2 ต่อพรุ่งนี้…(ก็ยังไม่เข้าเรื่อง Graffiti? Street art? คืออะไร????” พรุ่งนี้ๆ สัญญา เนื้อหามันเยอะเลยต้องแบ่งออก…..ไม่รู้กี่ตอนจบเลยเนี้ย อาศัยพิมพ์ตอนว่างๆ จากงานที่โรงเรียน)
อ้างอิง
#3. ศิลปะแบบเหมือนจริง (Realistic) http://csatorn.com/semi_abstract.html
#4. Pop Art กับศิลปะสุดแนว http://www.truelife.com/old/detail/972711
Graffiti? Street art? คืออะไร???? ตอนที่ 1
by admin on มี.ค..30, 2016, under ครูหมีขี้บ่น
เมื่อราวๆ ต้นเดือนมีนาคม ครูหมีอ้วนเห็นการเชิญชวนและภาพสถานที่จากแฮชแท็ก ( # Hashtag ) #1. คนรู้จักคนหนึ่งว่าไปวาดภาพกันที่หลังโรงหนังมาลัย (ถ้าอายุน้อยกว่า 30ปี อาจจะไม่รู้จักแล้วว่าคือไหน อดีตอันน่าจดจำของลพบุรีมากๆ) แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอยากจะไปเท่าไรเพราะว่างานที่โรงเรียนยุ่งมากๆแล้วต้องใช้เวลาและทุนพอสมควรในการทำงานระดับนี้แต่ “ใจ” ตอนนั้นอยากไปทำมากๆ แต่ยัง “กลัว” อยู่ “กลัวไม่สวย” “กลัวไม่เสร็จ” “กลัวคนอื่นไม่ชอบงานของเรา!!!”จนช่วงกลางๆเดือนมีนาคมก็มีเพื่อนครูหมีอ้วนส่งข้อความมาชวนด้วยข้อความสั้นๆ ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ “อยากสนุกด้วยกันมาได้ #วิกมาลัย ให้ไวพื้นที่มีไม่มาก” พอเจอคำว่า “สนุก” มันติดอยู่ในใจมาก คืนนั้นนอนคิดทั้งคืนเลย “เออ เอาสนุกก็ได้นี้ว้า ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก” แต่..งานวันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนรออยู่อีกมากมายมหาศาลเลยลืมๆไปก่อนนอนและตื่นเช้าไปทำงานตามปกติก่อนดีกว่ามั่ง งานเพียบ….
วันรุ่งขึ้นไปทำงาน ทำงาน และทำงานจนกระทั่งกลับมาบ้าน เวลาห้าโมงเย็นหน่อยๆ เปิดคอมก็เจอข้อความเดิมของเพื่อนที่ส่งมาเมื่อคืนนี้แต่ยังไมได้ตอบกลับไป นั่งคิดอยู่นานจึงพิมพ์กลับไปว่า “งานอะไรวะ” สักพักเพื่อนก็ตอบกลับมาด้วยความรวดเร็ว “กราฟฟิตี้ วิกมาลัยรามา ข้างพิบูล มาเลยตอนนี้อยู่” แค่นั้นล่ะตัดสินใจเปลี่ยนชุดขับรถออกจากบ้านไปเลยข้าวปลายังไม่ได้กินคว้าขนมไปหนึ่งถุงกับน้ำหนึ่งขวดขับมอไซค์ไปทันที…..
พอไปถึงที่วิกมาลัย (เด็กสมัยนี้รู้จักคำว่า “วิก” ต่อด้วยชื่อโรงหนังกันไหมเน้อ? คนที่ใช้คำนี้ก็อายุ 30+ อีกเช่นกันฮ่าๆๆ ความหมายจริงๆ หมายถึง ในสมัยอดีตนั้น #2. การแสดงการละเล่น เช่น ลิเก ละคร ตามในเมืองนั้นจะทำการแสดงและเปลี่ยนเรื่องแสดงทุกๆอาทิตย์ หรือสัปดาห์ ซึ่งคนสมัยก่อนยังไม่มีคำนี้ใช้กัน เจ้าขุนมูลนายในสมัยก่อนเลยใช้คำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ คำว่า “Week” (วีค) เรียกกันไป สื่อสารกันมาจนกลายเป็นเข้าใจไปในชาวบ้านว่า “วิก” คือหมายถึงโรงหนัง โรงละคร พูดกันจนติดปากสืบทอดต่อกันมาจนปัจจุบัน บางคนที่พอมีอายุ ก็เรียก วิก3 วิก5 วิก7 วิก9 หมายถึง ช่อง 3 5 7 9 นั้นเอง…. นี่คือที่มาของไอ้เพื่อนหัวเหม่งของครูหมีอ้วนที่ชวนไปวาดภาพโดยใช้คำว่า “วิกมาลัย” หมายถึงโรงหนังมาลัยรามานั้นเอง แปลว่ามันแก่มากแล้ว…..) นอกเรื่องไปซะไกล กลับมาต่อที่ ไปครูหมีอ้วนไปถึงที่วิกมาลัย ก็เจอคนวาดภาพอยู่….นับได้….. 1 2 3 ….3 คน (รวมเพื่อนครูด้วย) แล้วมองไปที่กำแพงที่ยาวเยียด ตอนนั้นตกใจ นึกว่าคนจะเยอะกว่านี้ ทำไมไม่มีคนมาเลยง่ะ ไอ้ที่เพื่อนหัวเหม่งของครูบอกว่า “ยังพอมีที่” ไม่ใช่ละ นี้มันเหลือเยอะไปหมดเลย…..
……จบตอนที่ 1……ต่อพรุ่งนี้
อ้างอิง
#1. Hashtag คืออะไร และ วิธีการใช้ #Hashtag ที่เหมาะสมhttp://www.thanop.com/hashtag
#2. ความหมาย และ ความเป็นมา ของ คำว่า “ วิก ”http://board.narak.com/fashion_and_beauty/topic.php?id=17254