Archive for เมษายน, 2016
สวนสัตว์ลพบุรี
by admin on เม.ย..12, 2016, under ครูหมีขี้บ่น
เมื่อไม่กี่วันก่อนได้มีกระทู้ที่เว็บบอร์ดสาธารณะขนาดใหญ่แหล่งรวมความบันเทิง รวมคนเก่ง คนเกรียน คนรู้จริง คนรู้ปลอม ได้มีคนมาโพสต์เกี่ยวกับ “สวนสัตว์ลพบุรี” ว่า “สวนสัตว์ลพบุรี ทุกวันนี้แย่ได้ขนาดนี้แล้วหรอ? สงสารสัตว์ที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้” และได้มีการกระจายแชร์กันสนั่นไปทั่วโลกอินเตอร์เน็ทและที่พีค (Peak) สุดคือมาลงที่กลุ่ม ของคนลพบุรีใน facebook แห่งหนึ่ง และมีคนลพบุรีเข้าไปกระหน่ำโจมตีด้วยข้อความ ถ้อยคำที่รุนแรง มีมาทั้งภาพ หลักฐานยืนยันมากมาย และแชร์กันต่อไปอีกไม่รู้เท่าไร จากแหล่งข้อมูลข้างต้น ซึ่งเป็นการเสนอมุมมองฝั่งเดียวด้วยภาพและข้อมูลที่จริงมั่ง เวอร์เกินไปมั่ง และ เกือบ!!!ทั้งหมดอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ในความทรงจำไม่ได้เดินเข้าไปสัมผัสความจริง!!!! ในตอนนี้เลย……
ซึ่งก็ต้องบอกกันตามตรงว่าตัวผมก่อนหน้านี้เคยเข้าไปอยู่ก็นานหลายปีแล้ว สมัย “สุนัขเลี้ยงนมเสือ” ตอนนั้นก็มีเสืออยู่รวมกันกับหมาที่เป็นแม่หมาและลูกๆเพื่อนต่างสายพันธุ์ นานมากแล้ว ภาพในความทรงจำของสวนสัตว์ลพบุรีในวัยเด็กที่สวนสัตว์มีแต่ความสนุก ความสุข ด้วยความที่เราเป็นเด็กเราไม่เข้าใจหรอกว่ามันเป็นอย่างไงจำได้แต่สิ่งดีๆ มีสัตว์ให้ดูมากมาย เสือ สิงโต ช้าง ม้า ลิง งู เต่า จระเข้ หมี กวาง และอื่นๆอีกเยอะเลย ที่ชอบที่สุดก็คงลงไปปั่นเรือในสระที่มีปลามากมาย แต่แม่ไม่ค่อยอยากให้ลงเพราะอันตราย แต่ถ้าถามว่าสภาพสวนสัตว์ในตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกันไหมผมว่าก็ไม่ต่างกันเท่าไรเพียงแต่เราอยู่ในช่วงคนละอายุกัน มุมมองมันเลยต่างกัน …
พอหลังจากเกิดกระแสในโลกอินเตอร์เน็ทโจมตีการดูแลรักษาของสวนสัตว์ลพบุรี วันรุ่งขึ้นผมและเพื่อนๆ ก็มีนัดกับทาง ผอ. สวนสัตว์พอดีเลย เพื่อเข้าไปวาดภาพภายในสวนสัตว์ ซึ่งมีการพูดคุยกันมาพอสมควรแล้วเรื่องการอาสาสมัครครั้งนี้ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้มานานมากไม่ใช่พอเกิดเรื่องถึงเข้าไปทำงานตรงนี้ ต้องบอกตามตรงว่าไม่เคยเข้าไปสวนสัตว์เลยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาหรืออาจมากกว่านั้นจำไม่ได้อาจจะถึง 10 ปี ทำให้ภาพในหัวของสวนสัตว์ที่พอจะเดาออกก็ไม่พ้นภาพที่ ชาวอินเตอร์เน็ทเอามาลงกันนั้นล่ะ คือ แย่มาก……
พอได้เวลานัดหมายเข้าไปพบกันที่สวนสัตว์ผมและเพื่อนๆ ได้เข้าไปเจอ พันโทนิวัติ บุญประดิษฐ์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ลพบุรี หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ได้นั่งพูดคุยกันเรื่องงานถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ทักทายผู้ร่วมงานน้องๆทุกคนอย่างมีไมตรีจิต พูดคุยถึงแนว Concept การสนับสนุนอุปกรณ์และกำลังพล การพัฒนาพื้นที่ต่างๆ เวลาในการทำงาน การเข้าออก การสนับสนุนแสงสว่างกันจนเข้าใจ…… ก่อนที่จะเข้าประเด็นเรื่องที่เป็นข่าวอยู่ในตอนนี้ พอเข้าเรื่องนี้จากที่ พี่นิวัติ (ขอเรียกพี่เลยละกันครับ) กำลังคุยสนุกสนานก็นิ่งไปสักพักก่อนจะเริ่มเล่าให้ฟังว่า (เหตุการณ์ต่อไปนี้จะเขียนเท่าที่จำได้เพราะไม่ได้บันทึกหรือขอสัมภาษณ์เป็นเพียงการพูดคุยกันธรรมดา)
“ผมเห็นข่าวแล้วครับแต่ก็ไม่รู้จะไปอธิบายให้คนอื่นเค้าเข้าใจได้ไหม อธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์กับสิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่ตอนนี้ ผมเคยอธิบายว่าเรามีพื้นที่ 100 กว่าไร่ กำลังคน 40 คน ทำงาน 6.00 – 20.00 ทุกวัน ไม่นับเวรยาม ทั้งความสะอาด สวน ต้นไม้ การดูแลให้อาหาร รักษาสัตว์ แต่ก็มีคนมาต่อว่า “แล้วทำได้แค่นี้เหรอ” ผมเลยไม่ตอบดีกว่า เอาเวลามาทำงานให้สบายใจมีความสุขดีกว่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผมมาทำงาน ผมทำงานเต็มที่พัฒนาไปหลายสิ่งหลายอย่าง ตามกำลังที่สามารถทำได้ แต่จะได้ดีเลิศทันทีเลยคงไม่ได้”
ผมถาม “แล้วพี่มีงบพัฒนาอย่างไงครับ”
พี่นิวัติ ชี้มือไปทาง กระดานรายรับรายจ่ายประจำวันที่หน้าห้องประชุม “นั้นเลยครับดูได้เลย รายรับรายจ่ายเรามีรายได้ต่อวันอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาท ในวันธรรมดา และ 10,000 – 20,000 บาท ในวันหยุด นี้คือรวมรายรับทุกอย่างแล้ว ถ้าอยากดูบัญชีก็ให้ดู (แต่ผมปฏิเสธไปเนื่องจากผมไม่ใช่คนมาตรวจสอบแค่ต้องการรู้เรื่องราวเท่านั้น) แต่รายจ่ายค่าอาหารของสัตว์เราจ่ายทุกวันวันละ 8000 กว่าบาท (มีตัวเลขค่าอาหารอยู่บนกระดานแต่ผมจำเศษไมได้) ก็เรียกได้ว่าเราขาดทุนแทบทุกวัน ไม่นับรายจ่ายอื่นๆ ค่าสาธารณูปโภค ค่าแรงช่าง ลูกจ้าง(ที่ไม่ใช่ทหาร) วัสดุซ่อมแซม ซึ่งบางอย่างก็ได้รับการสนับสนุนมาจากต้นสังกัดและผู้ที่ให้การสนับสนุนมา แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาทั้งหมดได้ต้องค่อยๆทำไป ….. ก็ไม่รู้ว่าเราอยู่กันมาได้อย่างไง…..” พอพี่เค้าพูดจบทุกคนก็นั่งเงียบไปสักพักเพราะอึ้งกับข้อมูลอยู่ ก่อนที่ผมจะตัดบทว่า “งั้นเข้าไปดูพื้นที่ทำงานที่จะให้วาดภาพดีกว่าครับ” ก่อนที่พี่เค้าจะเชิญทุกคนเข้าไปพร้อมกัน
พี่นิวัติพาเดินเข้าทางประตูเจ้าหน้าที่เริ่มเดินจากด้านข้างไปจุดแรกคือกรงหมีขอและหมีควาย ซึ่งตรงนี้มีภาพวาดเก่าที่ชำรุดอยู่ก็เลยขอพี่เข้าทำตรงนี้เลยเพราะเข้าทางผมพอดี พี่นิวัติก็โอเคพร้อมกับจะให้คนมาเตรียมปรับพื้นที่ให้ ระหว่างนั้นพี่เค้าก็พาไปเดินจุดต่างๆ ตามที่พี่เค้าลงสีรองพื้นไว้ให้จะเห็นได้ว่า พี่เค้าเตรียมพื้นที่ไว้ให้แล้วมีการวางแผนมาแล้วว่าจะให้ปรับปรุงภูมิทัศน์ตรงไหนบ้าง และก็บอกว่าถ้าอยากได้ที่ตรงไหนอีกเพิ่มอีกก็บอกได้จะเตรียมพื้นที่ให้ไม่มีปัญหา ระหว่างเดินไปนั้นผมก็สังเกตจุดของกรงต่างๆ และบรรยากาศโดยรอบของสวนสัตว์หลังจากที่ไม่ได้เข้ามาหลายปี ก็ต้องบอกเลยว่าไม่ได้ต่างแตกไปจากสมัยเด็กสักเท่าไร และหากมองไปถึงความเป็นอยู่ของสัตว์ก็แทบจะเรียกได้ว่ามีการนำสัตว์ใหม่ๆเข้ามาอยู่ตามกรงจนแทบจะครบถ้วนทุกกรง (เรื่องชนิดและจำนวนของสัตว์จะขอข้ามไปก่อน) สภาพแวดล้อมความสะอาดของทางเดิน ต้นไม้ สวนหย่อมบอกได้เลยว่าสมบูรณ์มาก หญ้าเขียวขจี ต้นไม้เขียวสวยสดใส ความสะอาดและการพัฒนามีให้เห็นทุกจุด นักท่องเที่ยวมีไม่เยอะมาก พอดีช่วงที่ไปกำลังมีการแสดงของลิงอุรังอุตัง น้องบูบู้ น้องกะลา ทายาทของไมค์ ซูซู คนเลยไปรวมกันที่นั้นเยอะ ก็ได้ยืนชมการแสดงพอสมควรเพราะต้องเดินสำรวจหน้างานต่อ การแสดงก็ไม่ต่างกันสวนสัตว์ชั้นนำอื่นๆ ฉลาดและน่ารักจริงๆ จากนั้นก็เดินไปชมส่วนต่างๆของพื้นที่ต่อ จะสังเกตเห็นได้ว่ามีร้านค้าและพ่อค้าแม่ค้ามาขายของตามปกติ แต่มีห้องบางที่ที่ปิดทำการอยู่ ก็ไม่แปลกใจเท่าไรเพราะคนน้อยมากเปิดเยอะไปก็ไม่คุ้ม จนเดินไปสักพักวนเข้ามาที่ตรงกลางซึ่งเป็นประเด็นของข่าวเลยคือ กรงเสือ บ่อเต่า บ่อสัตว์อื่นๆ กรงสิงโต บ่อปลาจระเข้ (บอกตรงๆเพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ ปกติเห็นแต่ในทีวี) ระหว่างที่เดินมาถึงก็มีการแสดงจับงูพิษโชว์นักท่องเที่ยวก็ได้รับความสนใจพอสมควร มีงูเผือกไว้ให้ลองสัมผัสด้วย มาถึงบ่อปลาจระเข้ที่มีคนลงว่าน้ำแห้งไม่มีปลา หรือมีอยู่ตัวเดียวกับปลาดุก บอกเลยครับ มีเต็มบ่อ ผมมองคราวๆแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ตัวตัวใหญ่ๆด้วย มาถึงกรงสิงโตที่จากข่าวบอกว่าผอมมากซึ่งได้สอบถามแล้วได้รับคำตอบว่ามันไม่สบายป่วยอยู่เลยไม่ค่อยแข็งแรงก็รักษากันไปตามปกติไม่ได้ปล่อยละเลยดูแลตลอด ส่วนกรงเสือ มาถึงก็เจอคนยืนดูอยู่ค่อนข้างเยอะ จากการสังเกตจากข่าวที่บอกว่าเสือผอมมาก ผมบอกเลยไม่จริง เสือดูมีน้ำมีนวลซะด้วยซ้ำ ทรวงทรงองอาจสมกับเป็นเสือไม่ได้ผอมกิ่วแบบที่คนเขียนข่าวแต่อย่างใด แถมระหว่างยืนดูเสือ 2 ตัวก็หยอกล้อเล่นกันซะน้ำกระจายแข็งแรงสมบูรณ์ฟัดกันนัวเนียเสียงคำรามลั่นกรงเลย…
ถ้ามาถึงตรงนี้ผมยืนดูมองไปรอบๆตัว ซึ่งตรงนี้เป็นศูนย์กลางของที่นี้ ก็กล้าพูดได้เลยว่านี้ล่ะ “สวนสัตว์ลพบุรีในความทรงจำของผม” ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อก่อนเลย ความสมบูรณ์ ความสะอาดและความสวยงามของสถานที่ยังคงเหมือนเดิมและมีการพัฒนาต่อขึ้นไปอีก มองไปด้านหน้ามีช่างกำลังต่อเพิงขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรแต่มีช่างกำลังทำอยู่ มองไปด้านข้างมีทหารกำลังกวาดเศษใบไม้อย่างต่อเนื่อง มองไปด้านหลังเห็นนักท่องเที่ยวกำลังชมการสาธิตจับงูพิษจากวิทยากรและส่งเสียงเฮๆ อยู่อย่างสนุกสนาน ต้นไม้ ต้นหญ้าเขียวจนไม่คิดว่านี้อยู่ในหน้าร้อนและแล้งขนาดนี้ยังทำให้เขียวได้ แล้วทำไม!!!!! คนถึงเอาไปเขียนแบบนั้น?????
หลังจากที่พี่นิวัติพาเดินจนครบและพูดคุยเรื่องงานกันจนเสร็จแล้วผมก็เลยเข้าไปสอบถามอีกครั้งว่า “พี่นิวัติครับสวนสัตว์ก็โอเคเลยนะพี่ไม่ได้แย่อย่างที่เค้าว่าเลย” พี่เค้าก็บอกมาว่า “นั้นละครับผมก็ไม่รู้จะไปอธิบายให้เค้าเข้าใจอย่างไง ว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลยเลย บางคนมาต่อว่าว่าทำไมสัตว์น้อยจัง เค้าไม่เคยถามเหตุผลในความเป็นจริงหรอกครับ เค้าเข้ามาแล้วก็บอกว่าที่นี้ไม่มีสัตว์อะไรให้ดูเลย มีน้อยจัง สู้ที่นั้น ที่โน่นไม่ได้ ผมบอกเลยที่นี้มันไม่ใช่แค่สวนสัตว์แล้วที่นี้คือประวัติศาสตร์ มันคือสวนสัตว์แห่งแรกๆ ของประเทศเลยตั้งแต่ยุคสมัยจอมพล ป. 2483 ดูนั้นสิครับ เสาไฟฟ้ายังเป็นของตั้งแต่สมัยจอมพล ป. กรงนี้ครับตั้งแต่ 2483 มันเป็นแหล่งรวมประวัติศาสตร์ ไหนจะจุดท่อน้ำดินเผาสมัยสมเด็จพระนารายณ์อีก ที่นี้มันเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ไปแล้ว ส่วนเรื่องสัตว์ การเพิ่มจำนวนนั้นในปัจจุบันนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร เพราะอย่างแรก กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่เข้มงวด การจะนำเข้า ซื้อขายเข้ามานั้นเรียกได้ว่าหมดสิทธิ์เลย เมื่อก่อนสัตว์ส่วนมากที่ได้มาก็เพราะยึดมาได้จากประชาชน หรือสัตว์เจ็บป่วยดูแลไม่ไหวก็ยกให้เราและไม่สามารถปล่อยเข้าป่าเพราะถูกเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กหากินเองไม่เป็น แต่ในปัจจุบันไม่มีใครกล้าเลี้ยงแล้วเพราะกฏหมายแรงมาก เรื่องจะซื้อเข้ามายิ่งไม่มีทางถึงมีทางก็ต้องใช้เงินมหาศาลในการซื้อหรือการแลกเปลี่ยนทางทรัพยากรของประเทศ และสิ่งที่เป็นข้อจำกัดอย่างมากของเราคือ ค่าอาหาร ที่ทุกวันนี้ก็ติดลบทุกวันอยู่แล้ว ถึงได้สัตว์มาก็ไม่สามารถแบกรับภาระได้ไหวมากไปกว่านี้แล้ว สัตว์โดยส่วนมาก จึง!! เมื่อมาอยู่กับเรา เราก็เลี้ยงและดูแลจนตายจากกันไปและไม่มีมาเพิ่มแล้ว ที่มีมาเพิ่มตามที่เห็นตามกรงต่างๆ ก็เป็นสัตว์ที่ไม่ได้หาดูยากมาก จนบางคนบอกว่าตามตลาดนัด (คงหมายถึงจตุจักร) ก็มี เราก็ทำได้แค่นี้ละครับ….”…….
นี้คือความเป็นจริงทั้งหมดของ “สวนสัตว์ลพบุรี” ที่เป็นของคนลพบุรี ถ้าเราไม่ร่วมกันพัฒนาหรือช่วยกันปกป้องรักษาไว้ ความทรงจำในวัยเด็กที่ทุกคนอ้างถึงถวิลหา อยากให้มีเหมือนเดิมจะกลับมามีเหมือนเดิมได้ไหม ในวันนี้ทุกคนช่วยกันแล้วรึยัง ลงมือทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อลพบุรีบ้านเกิดของเราแล้วหรือยัง ถ้ายังลองถามตัวเองว่าพอจะทำอะไรตามกำลังของตัวเองได้บ้าง เพื่อที่จะช่วยรักษา ดูแล บางสิ่งบางอย่างของบ้านเราไว้ ดีกว่ามานั่งทะเลาะกัน โจมตีกัน มุ่งหาคนผิด คนรับผิดชอบ เรานั้นล่ะครับผู้รับผิดชอบต่อสังคม เริ่มทำในสิ่งที่คุณคิดว่าตัวคุณทำได้ แม้ไม่รู้ว่าจะได้รับอะไรตอบแทน หรือประสบผลสำเร็จไหม แต่มันก็ยังภูมิใจกับตัวเราว่า เราลงมือทำแล้วนะไม่ได้พูดอย่างเดียว ทำแล้วสบายใจ มีความสุข ไม่ต้องไปฟังเสียงของคนที่เอาแต่พูด พิมพ์ ต่อว่า โดยที่คนคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย……เริ่มที่ตัวท่านก่อนครับว่า
“เราทำอะไรให้บ้านเกิดของเราแล้วหรือยัง”
ครูหมีอ้วน 12 เมษายน 2559
ปล. ผมเสนอมุมมองใหม่ให้สำหรับคนที่มีอคติกับเรื่องนี้ และต่อต้านการบริหารจัดการที่คุณมองว่าไม่เข้าท่า โดยส่วนตัวผมก็บอกเลยไม่ชอบการขังสัตว์เท่าไร และรักธรรมชาติ ดำเนินกิจกรรมเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติและสัตว์ป่ามาโดยตลอด ร่วมกับอาสาสมัครทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มใบไม้ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และถวิลหาการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติเชิงนิเวศเสมอ ฉะนั้นการที่สวนสัตว์ลพบุรีมีจำนวนสัตว์ที่น้อยแต่พอดีไม่แออัดหนาแน่นและมีสภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ที่ผมมองว่าค่อนข้างโอเค ซึ่งจำนวนและปริมาณ ประเภทและชนิดของสัตว์ในสวนสัตว์ลพบุรีนั้นไม่ถือว่ารบกวนธรรมชาติจนเกินไปถ้ามองว่านี้คือแหล่งทัศนศึกษาของเด็กๆในการพบเจอสัตว์ป่าในตัวเมืองผมก็รับได้
มุมมองที่ผมอยากให้ทุกท่านมองเห็นและก้าวผ่านไปด้วยกันคือ ถ้าเรามองว่า สวนสัตว์ลพบุรี เป็นแหล่งพักผ่อน หย่อนใจแบบธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ สระน้ำ พายเรือ เดินเล่น ดูนก ดูสัตว์ ให้อาหารกวาง กระต่าย กับค่าเข้า ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 20 บาท!!!! (ไม่นับค่าจอดรถนะครับ) ผมบอกเลยผมยอมจ่ายเพื่อให้ เด็กๆได้เข้าไปเดินเล่น วิ่งเล่น มันคือ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ กลางเมืองใหญ่ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ไปวิ่งออกกำลัง ไปเดินออกกำลัง จ่าย 20-30 บาทช่วยค่าอาหารสัตว์ในนั้น ทำกับข้าว ซื้อกับข้าว หรือแม้กระทั่งไปซื้อกับข้าวจากพ่อค้าแม่ค้าในสวนสัตว์ลพบุรี ไปปูเสื่อนั่งปิคนิคข้างสระน้ำ สนามเด็กเล็ก หรือที่ที่สงบในสวนสัตว์เหมือนภาพในวัยเด็กที่ผมจำได้ว่าไปนั่งเล่นกับพ่อแม่ ซึ่งจะช่วยให้เค้ามีรายได้ไปอีกไม่รู้ต่อกี่ชีวิตมนุษย์หมุนเวียนกันอยู่ในจังหวัดลพบุรี แทนการ !!!!! พาลูกหลาน คนในครอบครัว เดินทางไปที่ห้างดังๆในเมืองลพบุรี รถติด ไปจ่ายค่าอาหารราคาแพง เงินไหลออกประเทศไปสู่นายทุนข้ามชาติ ผมไม่ได้บอกให้ทุกท่านเลิกไปห้างเพราะผมก็ไปอยู่ แต่ผมอยากให้ลองเปลี่ยนบรรยากาศในการสูดแอร์ในห้าง มาสูดอากาศใต้ต้นไม้ใหญ่ อากาศข้างสระน้ำ ทำกิจกรรมกลางแจ้งกับคนใกล้ตัวคุณบ้างที่ “สวนสัตว์ลพบุรี” สักเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อนำค่าเข้า 20-30 บาท มาช่วยเหลือค่าอาหารสัตว์ที่คุณว่าอดอยากและพัฒนาสวนสัตว์ให้ดีขึ้นตามความต้องการของทุกคน เปลี่ยนจากการยึดติดความคิดที่ว่า มาสวนสัตว์ต้องมีสัตว์ให้ดูมากมาย เป็น “สถานที่พักผ่อนและมีสัตว์ให้ชม” จะดีไหมครับ….