ทุกวันมีสิ่งใหม่ๆเสมอถ้าเหลียวมองมันสักหน่อย..
by admin on ก.ค..14, 2010, under ครูหมีขี้บ่น
ยุคนี้เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีจริงๆ ถึงแม้คุณจะอยู่ในอาชีพอะไร วงการอะไร เรียนอะไร เหลือแม้แต่ยากดีมีจนอย่างไงก็ตาม คุณก็ต้องตามเทคโนโลยีให้ทัน
ในสมัยจบมาใหม่ๆ แรกๆ ผมก็เริ่มทำงานเลยด้วยความที่กำลังใจแรง จริงๆก็เรียกว่าทำงานมาตั้งแต่ระหว่างเรียนแล้วล่ะ แต่ที่เรียกว่าทำงานแลกเงินจริงๆ ต้องหลังจากจบ ระหว่างเรียนผมไม่เคยเข้าใจเลยว่า ศิลปะ คืออะไร นอกจาก ความหมายที่มีให้อ่าน จำ หรือว่าพูดๆตามเค้ามา ผมมาเข้าใจจริงๆก็หลังจบมานานพอสมควรและเข้าใจกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงไม่สิ้นสุด สมัยเรียนผมทั้งวาด อ่าน เขียน ถ่ายภาพ ประดิษฐ ปั้น สร้างและรื้อ เพระว่าผมเรียนจิตรกรรมมา จนมาถึงระดับ ปวส ถึงมองทางของตัวเองออก ว่าอยากทำงานทางด้านการ Design เลยไปต่อนิเทศศิลป์ ในช่วงที่ไปเรียนตอนแรกๆ ผมยังจำได้แม่นเลย คือผมเป็นเด็ก ต่างจังหวัดเข้าไปเรียนเมืองกรุง แถมเข้าไปในระดับ 2 ปีหลังอีกตั้งหาก ผลงานผมช่วงแรกๆ ผมใช้วิธีการแบบจิตรกรรม คือ วาดเอง ลงสีเอง และเมื่อไปส่งในชั่วโมงเรียนนั้น ก็กลายเป็นว่าผมคือ แกะดำของห้อง เพราะว่าอะไรหรือครับ ก็เพระว่า คนอื่นๆ นั้น เค้าใช้คอมพิวเตอร์ทำมาส่งกันทั้งนั้นเลย (งานชิ้นแรกที่ส่งคือ การทำ artwork ของตัวหนังสือ) พอตอนส่งอาจารย์มีคนหัวเราะงานของผมด้วยซ้ำ และยิ่งกว่านั้นคือ แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็มองงานของผมด้วยสายตาแปลกๆ แล้วพูดมาว่า “สมัยนี้เค้าใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบกันแล้วเนอะ” ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะไม่ใช่ผมคนเดียวที่ส่งงานแบบวาดมา มีคนอื่นอีก 5-6 คนจากเด็กเกือบ 50 คน แต่คนอื่นๆก็ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์มาส่งทั้งนั้น วันรุ่งขึ้นผมตัดสินใจของเงินแม่ ซื้อคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ซึ่งในตอนนั้นราคามันแพงมากๆ แพงระดับซื้อมอเตอร์ไซค์ได้ 2 คันเลยที่เดียว (เกือบๆ 60,000 บาท) ไม่รู้ว่าแม่หาเงินมาได้อย่างไร ทั้งๆที่มอเตอร์ไซค์ที่บ้านยังไม่มีสักคันเลยด้วยซ้ำ รถเก๋งก็ไม่มี เงินเดือนก็แค่ หมื่นหน่อยๆ ไหนจะค่าใช้จ่ายผมอีกอาทิตย์ละหลายพันเลยที่เดียว ต่ำๆก็ 2000-3000 บาท มาคิดถึงตอนนั้นแล้ว (10 ปีที่ผ่านมา) ผมใช้เงินของแม่ไปมากมายมหาศาลเลยจริงๆ จนทุกวันนี้ผมอายุ 30 แม่ผม 63 เข้าไปแล้วผมยังใช้คืนแม่ไม่หมดเลยมีแต่จะใช้เพิ่ม
แล้วมันเกี่ยวไรด้วยละเล่ามาซะยาว ก็ตั้งแต่ผมได้คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมา ใช้ก็ไม่เป็น เรียนก็ไม่เคยเรียน การเรียนระบบมหาลัยเค้าไม่สอนการใช้งานคอมพิวเตอร์กันนะครับใครเรียนคงรู้ เค้าจะสอนกันเรื่องความคิด การสร้างสรรค์ และการทำงานที่ถูกต้อง ตามระบบของสายวิชาที่เราเรียนเท่านั้น ไม่มีมาบอกว่า เครื่องมือนี้ทำไร จะทำอย่างนี้ทำไง อย่างโน่นทำไง เค้าจะมาพูดเรื่องแนวความคิดและการสร้างแรงบันดาลใจ ขั้นตอนและวิธีการสร้างงานเท่านั้น แต่ไม่ใช่ว่า เมื่อเรามีปัญหาในการทำงานแล้วเราจะไปปรึกษาไม่ได้ ปรึกษาได้ครับเพียงแต่ไม่ใช่ไปทำถามว่าทำอย่างไง ถามในสิ่งที่เราทำแล้วสงสัย ถามในสิ่งที่เราไม่เข้าใจเวลาทำงาน หรือแม้กระทั่งถามว่างานที่ทำอยู่ดีหรือไม่ดี แล้วเราก็จะได้คำตอบที่ดีมาทำงานต่อถึงแม้ว่ามันจะมาในรูปแบบใดก็ตาม และด้วยสิ่งที่เจอมากับเพื่อนๆรอบข้างมันทำให้ผมมีแรงกระตุ้นในการแข่งขันกับเค้าและก้าวขึ้นมายืนได้ในระดับที่เท่าเทียมกัน วัดจากคะแนนที่ได้จากผลงาน ถึงแม้ใครจะบอกว่า คะแนนระหว่างเรียนนั้นมันใช้ไม่ได้กับชีวิตตอนทำงาน แต่ผมก็คิดต่างไปจากเค้าที่ว่า นี่ล่ะคือการประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานแบบจำลองระหว่างเรียน ผมถือว่าผมทำสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้แล้ว
หลังจากได้ลองหัดทำและเรียนรู้การใช้งานของมันจนเข้าใจในระดับหนึ่ง ผมก็เริ่มสร้างสรรค์งานจากคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์สมัยนั้น ระบบ internet ยังไม่ค่อยแพร่หลายมากนัก (ยุค windows 98) กล้องดิจิตอลก็ยังไม่มี ในการสร้างสรรค์งานแต่ละครั้งของยุดนั้น จึงเป็นการสร้างสรรค์งานอย่างแท้จริง คือเราต้องการอะไรก็หามาใส่ในคอมพิวเตอร์เราโดยตรง เช่น ตรงการรูป แก้วน้ำใส่น้ำสีแดงกับแก้วน้ำใส้น้ำสีเขียววางอยู่คู่กัน เราก็ต้องถ่ายรูปล้างฟิลม์นำไปสแกนเข้าคอมพิวเตอร์และค่อยออกแบบตบแต่งงานอีกที งานจะสวยไม่สวยอยู่ที่ว่าเราถ่ายภาพมาได้ดีหรือเปล่า การมาตบแต่งในคอมพิวเตอร์นั้นเป็นส่วนเล็กน้อยแค่นั้นเอง เช่น ใส่ตัวหนังสือ ใส่โลโก้ ตัดส่วนเกินแค่นั้นเอง งานที่ออกมาแต่ละชิ้นเลยมีชีวิตชีวาและเป็นงานต้นแบบอย่างแท้จริงเพราะว่าไม่มีซ้ำใครแน่นอน เปรียบเหมือนงานศิลปะชิ้นนึงเลยที่เดียว ระบบการทำงานสอนให้เรารู้จักวางแผนการทำงาน การ Design ในกระดาษก่อนจะลงมือทำงานจริงหลายๆแบบเพื่อ หาสิ่งที่ดีที่สุด หรือที่เรียกว่า Idea sketch นั้นเอง เพราะว่าอะไรรึครับ เพราะว่างการลงมือทำงานจริงนั้นมันมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งต้นแบบที่จะถ่าย ทั้งฟิลม์ทั้งล้างทั้งอัด ค่าไฟ จะมีไม่เสียเงินคือ Idea ของเรานั้นเอง งานในยุคนั้นๆ จึงออกมาดีมากๆ ดูได้จากการ Design ของสื่อต่างๆในสมัยนั้น
และเมื่อใช้งานจนคล่อง ผมก็หลงระเริงไปกับความเป็นเซียน CG เพราะมั่นใจว่าตัวเองสามารถใช้งาน ทำงานได้ทุกอย่างทุกโปรแกรม และเก่งกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ จนจบการศึกษามาด้วยความมั่นใจ และเริ่มไปทำงานจริงๆ ในช่วงของการทำงานเบื้องหลัง ผมได้พบเจอกับรุ่นพี่หลายๆท่าน ซึ่งแต่ละคนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถและความรู้ และใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่เป็นเลย ผมก็เลยได้เข้าไปทำงานด้วยความรวดเร็วจากความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ พอทำงานไปได้สักพักหนึ่ง ผมได้เห็นงานต่างๆ ของพวกรุ่นพี่ ที่เค้า วาดมาจากมือล้วนๆ และสวยมากด้วย มันทำให้ผมมองหยุดคิดและมองกลับไปว่า ถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์แล้วผมจะสามารถทำงานกับเค้าได้ไหม ถ้าไฟดับแล้วผมต้องส่งงาน สามารถวาดแทนได้ไหม ถ้า windows เกิดล่มขึ้นมาผมจะทำอย่างไง
มันก็เลยย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้งคือการสร้างสรรค์งานอย่างมีคุณภาพและระบบด้วยการ Design จากมือก่อนและผมก็ยึดแนวความคิดนี้มาตลอดถึงแม้ว่าการวาดของผมจะไมได้เรื่องเท่าคนเก่งๆ แต่ผมก็สามารถรวมรวบระบบความคิดของตัวเองได้เป็นอย่างดี และในปัจจุบันผมกลับมองว่า คอมพิวเตอร์ทำให้นักออกแบบรุ่นใหม่ทำงานอย่างฉาบฉวย มักง่าย และไร้ระบบการกลั่นกรองความคิด การสร้างงานหนึ่งชิ้น อยากได้รูปอะไรก็ค้นเอาใน internet อยากได้รูปกล้วยไข่ค้นเจอก็เอามาทั้งอย่างงั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นกล้วยหอมก็ตาม เพระว่าอะไรรึครับ เพราะว่ามันเจอมาแบบนั้นจะให้ทำไง แล้วค่อยมาปรับให้เข้ากับงานของตัวเองบางที่ถึงขั้นเปลี่ยนความคิดงานของตัวเองไปเลยว่าใช้กล้วยหอมแทนเพราะว่าไม่มีรูป เรื่อง copy เค้ามาก็อีก เคยได้ยินถึงขั้น copy ไปเถอะไม่มีใครรู้หลอก ครับคนอื่นอาจจะไม่รู้แต่ตัวเองรู้ตัวของตัวเองอยู่แล้วว่าสามารถเอางานนั้นใส่เข้าแฟ้มด้วยความภาคภูมิใจได้ไหม พอว่มีคนติ คนวิจารณ์ก็โกรธและยกเหตุผลมาด้วยความมักง่ายว่าทำได้แค่นี้จะให้ทำไง แทนที่จะเปลี่ยนความคิดว่าเราไม่ได้ซื่อสัตย์กับตัวเองและพัฒนาการทำงานให้ดีกว่าเดิม ทำให้หมดสนุกกับการสร้างสรรค์งานเพราะว่าเอาแต่จับจ้องอยู่กับคอมพิวเตอร์ ไม่เคยแม้แต่จะสร้างงานขึ้นมาเองด้วยการถ่าย การวาด ทำสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ มั่วแต่งมอยู่ในจอคอมพิวเตอร์และ internet ไม่เคยเหลียวไปมองรอบๆตัว ว่ามันมีอะไรมากกว่าในจอคอมพิวเตอร์เยอะที่จะช่วยให้เราพัฒนาความคิด พลังความสร้างสรรค์ และการเอาชนะตัวเองได้เลย และในทุกๆวันก็มีคนรุ่นใหม่เรียนคอมพิวเตอร์ตามมาอีกเรื่อยๆ
เลิกเสียเถอะครับกับความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกคิดว่าเก่ง คิดว่าทำถูกแล้ว ทำได้แค่นี้ หรือทำไม่ได้ตลอดเวลาโดยไม่รับอะไรใหม่ๆเข้าไปบ้างเลย ยังมีอะไรให้ค้นคว้า ศึกษาและเรียนรู้นอกจอคอมพิวเตอร์เสมอ ปรับปรุงพัฒนาและยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง ขยันทำงานและอย่าโทษว่าไม่มีเวลา คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากันเพียงแต่จะใช้งานมันอย่างไงให้มันได้ประโยชน์มากกว่าคนอื่นที่สุด มันจะได้สนุก มีความสุข และภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง…..นะครับคุณนักออกแบบในอนาคต