แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
by admin on ก.ค..25, 2010, under ทีมครูหมีอ้วน
แฟ้มสะสมผลงานมีไว้ทำอะไร? คนโดนสั่งให้ทำคงไม่รู้ เพราะว่าถ้ารู้คงจะทำ หรืออาจจะรู้แต่ขี้เกียจทำก็เป็นไปได้ ทำไมเราจะต้องทำแฟ้มนี่ด้วยเนี่ย มันเอาไปทำอะไรได้? ใช้ทำอะไร? ทำไมครูที่โรงเรียนบังคับให้เราทำด้วย(เรื่องมาก -*- มีคนบ่นให้ได้ยิน)? เสียเวลาอ่านหนังสือสอบมากๆเลย(ดูดีขึ้นมาเลย)? ขี้เกียจทำ ไม่ต้องทำก็ได้มั้ง แต่ที่จริงแล้วแฟ้มสะสมผลงานนั้นมีประโยชน์มากกว่าที่คิดลองมาดูกันว่ามีประโยชน์อย่างไร
มนุษย์ตั้งแต่ยุคโบราณที่เค้ายังไม่มีภาษาที่จะพูดคุยกัน หรือ เจริญขึ้นมาหน่อยก็ คนละเผ่ากันคนละภาษา หรือแม้แต่ปัจจุบันเวลาเราเจอคนต่างชาติแล้วเราพูดภาษาเค้าไม่เป็นแต่จำเป็นต้องสื่อสารกัน จะมีกริยาอย่างนึงที่อยุ่ในตัวเราทุกคน คือ ภาษามือ โบ้ยๆเบ้ๆมันไป เมื่อใช้ภาษามือแล้วยังไม่รู้เรื่องกันอีก ก็ต้องวาดภาพประกอบเพื่อที่จะได้สื่อสารกันให้รู้เรื่อง อันนี้ก็พอรอดไปได้ ในปัจจุบันเวลาเจอคนต่างชาติเข้ามาถามอะไรก็แล้วแต่สมัยนี้เค้าจะมีหนังสือมาด้วย เมื่อเราแอบไปสบตาเค้า แล้วเค้ากำลังต้องการคนช่วยเค้าก็รีบปรี่เข้ามาหาเราด้วยความหวังแล้ว ยื่นหนังสือมาให้เราดูพร้อมกับชี้ที่ภาพในหนังสือ แล้วถามเราว่า “ที่นี่ไปจังใส” เราก็จะเข้าใจในทันทีว่าอ้อ เค้าต้องอยากไปที่นี่แต่ไปไม่ถูกแน่นอนเราก็ชี้ไปอีกทางนึงแล้วบอกว่า “โน่นๆ ไปอีกปู๊นเดี๋ยวก็ถึง” อันนี้นิสัยไม่ดีนะครับ ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง เราควรช่วยเค้าในการเป็นเจ้าเมืองที่ดี
เห็นไหมครับว่า ภาษาภาพมันช่วยการสื่อสารกันได้เป็นอย่างดีเยี่ยม แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณนักศึกษาล่ะครับ ยกตัวอย่างให้อีกหน่อย เมื่อวันก่อนมี พนักงานขาย (Sales) เข้ามาพยายามขายสินค้าตรงให้กับผม โดยส่วนตัวผมไม่ชอบฟังเค้าพูดเท่าไรเพราะว่า โดย 99% เค้าจะพูดเกินความจริงจากความสามารถของสินค้าอยุ่แล้วเสมอๆ แต่พอดีมันจะช่วยเป็นข้อมูลของผมได้ดีเลยบอกเค้าว่า ผมมีเวลา 30 นาทีก่อนจะไปธุระ เลยนั่งฟังเค้าพูดไป เค้าพูดไปประมาณ 15 นาที ว่าสินค้าของเค้านั้นมีคุณสมบัติดีอย่างไร คุ้มค่าอย่างไง ใช้ดีอย่างไง มากมายเลยจริงๆ คือทุกอย่างแม่งรวมอยู่ในอันเดียวกันหมดเลย ทำได้สารพัดประโยชน์ (ไม่ขอพาดพิงละกันว่าเค้ามาขายอะไร) ผมก็ฟังๆๆ เค้าไปเรื่อยๆ เมื่อสบโอกาสผมก็ถามเค้ากลับบ้างแบบโง่ๆ ว่า “อืม แล้วดีอย่างงี้ทำไมถึงไม่มีคนเค้าใช้กันล่ะ” พนักงานอิ่งไปพักนึง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “มันเป็นของใหม่ค่ะ เพิ่งได้รับการวิจัยมาจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ว่าได้ผลจิรงๆ” ผมก็เลยถามไปอีกครั้งแบบเริ่มฉลาดขึ้นมาหน่อย “อืมดีจังเลยครับมีการวิจัยแล้วด้วย แล้วเค้าวิจัย หรือว่าทดสอบแล้วได้ผลเป็นอย่างไงมั่งครับ” พนักงานอิ่งไปอีกรอบก่อนจะใช้ไหวพริบที่ดีของพนักงานขายรีบตอบกลับมาทันควันว่า “มีคนเข้าทดสอบและซื้อใช้ไปมากกว่า 10,000 คนแล้วค่ะว่าได้ผลจริง ที่นี่ก็มีคนซื้อไปใช้แล้วกว่า 20 คน ดูอย่าง ……..สิค่ะ เห็นไหมค่ะว่าได้ผล” ผมก็ถามไปอีกว่า “แล้วผมจะรู้ได้อย่างไงครับว่ามันจะสามารถทำงานได้ดี มีประโยชน์ และคุ้มค่าในการที่ผมจะซื้อหรือรับไว้ใช้สักเครื่อง มันก็ราคาสูงเอาเรื่องเลยนะ” พนักงานก็ยังไม่ยอมแพ้พูดต่ออีก “ลองรับไว้ใช้งานก่อนสิค่ะ แล้วจะรู้ว่าทำได้จริงตามที่พูดมาทั้งหมด รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอนค่ะ” ผมก็เลยพูดไปอย่างตัดสินใจแล้วว่า “ไม่ละครับราคาที่คุณว่ามาผมว่ามันไม่คุ้มกับที่ผมจะเสียเงินซื้อไป แล้วผมก็ไม่มั่นใจด้วยว่ามันจะทำได้อย่างที่คุณพูดมาทั้งหมด ผมขอไปซื้ออะไรที่มันมีประโยชน์และเห็นผลจริงๆดีกว่า” พนักงานหมดความพยายามและก็เดินจากไป……
จากเรื่องที่เล่าเห็นอะไรไหมครับ มันไม่สามารถยืนยันอะไรได้เลยว่าไอ้เจ้าเครื่องนี้จะสามารถจะทำอะไรได้จริงอย่างที่พูดมาโดยไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันเลยสักอย่างเดียวมีแต่คำพูดที่ดูดีไปซะหมด ไม่มีหลักฐาน ไม่มีสิ่งอ้างอิง ไม่มีผลงาน ไม่มีอะไรที่สามารถยืนยันได้ แล้วทำไมผมถึงต้องจะซื้อของๆคุณไว้ นี่คือข้อเปรียบเทียบว่าถ้าสิ่งที่เล่ามามันคือการ สอบสัมภาษณ์ในการศึกษาต่อหรือเข้าทำงานที่เราคาดหวังไว้สูงและมีผลต่อชีวิตในภายภาคหน้า แล้วคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะหาโอกาสดีๆแบบนี้ได้อีกแล้วจะทำอย่างไร
สมัยเรียนผมโดยครูบังคับให้ทำแฟ้มส่งทุกวิชาที่มีงานปฎิบัติจริงลงมือทำและมีผลงาน ตั้งแต่สมัยเรียน ปวช ปวส จนระดับ ปริญญาตรี ครูผู้สอนก็บังคับให้ทำมาตลอดถึงแม้จะคนละโรงเรียนและสถาบันแต่ครูก็ยังคงบังคับให้ทำ แล้วมันช่วยอะไรผมได้ครับ มันมาเห็นผลตอนทำงานกับสัมภาษณ์ครับ เมื่อไม่นานมานี้ผมได้ไปสอบครูผู้ช่วยติด และเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการสอบสัมภาษณ์ ซึ่งต้องเอาประสบการณ์ในการทำงานและผลงานไปให้เค้าดู ผมก็รีบกลับมาค้นแฟ้มที่เคยทำๆไว้สมัยเรียน ที่โดนบังคับนั้นล่ะขนไปหมดเลย เลือกไปแต่งานชิ้นที่ดีๆ ซึ่งทำเก็บไว้มากมาย และเตรียมตัวไปสอบสัมภาษณ์เพื่อที่จะได้บรรจุเป็นข้าราชการตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อไปถึงวันนั้น เข้าไปที่ห้องสัมภาษณ์ เค้าก็พูดออกมาประโยคเดียวเลยว่า “เอ้า มีอะไรก็ Present มาเลยมีเวลาให้ 10 นาที” กล้วยทอดดดด!!!! 10 นาทีเองกับช่วงชีวิตของผมทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ ผมเตรียมไป 3 ชุดเพราะรู้ว่าจะมีคณะกรรมการ 3 ท่าน เลยยื่นแฟ้มสะสมผลงานของผมให้ทั้ง 3 ท่านได้ดู เค้ารับไปก็เปิดๆๆ พลิกๆๆ แล้วก็จะมีคนถามแทรกขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อสงสัยในผลงานชิ้นไหน เช่น งานนี้ทำอย่างไร เมื่อไร และเอาไปใช้ได้อย่างไร มีแนวคิดในการทำอย่างไง แล้วทั้ง 3 ท่านก็เพลินไปกับผลงานของผมและดูท่าจะประทับใจเท่าที่ควร จนเค้าถามจนพอใจแล้วและผมก็ตอบไปด้วยความมั่นใจในผลงานของผมเองทั้งหมด เมื่อดูผลงานจนจบแล้วเค้าถึงมาสัมภาษณ์ชีวิตและเรื่องส่วนตัวและเหตุผลที่เข้ามาสอบสัมภาษณ์ในครั้งนี้ (ไม้ตายเลยกับคำถามนี้จงเตรียมตัวตอบให้ดีสำหรับการสัมภาษณ์ทุกครั้ง) และผลที่ออกมาหลังจากการสัมภาษณ์ก็ดีเลยที่เดียว ถึงแม้ผมจะไม่ได้ที่ 1 แต่ก็ติดอันดับที่ดีในการขึ้นบัญชีของการสอบครั้งนี้และมีสิทธิ์ได้เป็นข้าราชการตามที่ตั้งใจไว้ อันนี้ต้องขอบุญกุศลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ผมได้ตำหน่งนี้ตามที่ตั้งใจไว้ด้วยเถอะสาธุ….
กลับเข้าเรื่องต่อ เห็นไหมครับว่า แฟ้มสะสมผลงานนั้นมันสำคัญขนาดไหน ผลงานและเอกสารต่างๆ ที่เราเก็บรวบรวมไว้ตั้งแต่สมัยเรียนนั้น มันมีประโยชน์มากเพียงใด เค้าไม่มานั่งฟังคุณโม้เหมือนพนักงานขาย (Sales) นะครับ เค้าวัดกันที่ผลงานซึ่ง คุณไม่มีทางทำให้เค้าเห็นและเชื่อได้ในเวลาเพียงแค่ 10 นาทีแน่นอน (เว้นแต่มีการสอบปฎิบัติด้วยในบางสาขา เช่น นาฏศิลป์และดนตรี) และมันมีผลต่อความเชื่อมั่นของเค้าด้วยที่จะจ้างคุณ จ่ายเงินให้คุณ หรือรับคุณเข้าศึกษาต่อในสถาบันของเค้า ที่คนแย่งกันเข้าอย่างมากมาย ในขนาดที่ตัวเลือกนั้นไม่ได้มีแค่คุณคนเดียว เค้าสามารถคัดเลือกได้อีกมากมายหลายคนที่มีความสามารถเหมือนคุณ ฉะนั้นคุณนั้นล่ะที่ต้อง Present ตัวเองให้ได้อย่างเต็มความสามารถทั้งเรื่องผลงานและแนวความคิด การตอบคำถาม การทำงานและคำพูดคำจาในการสื่อสารกับคนรอบข้าง กาละเทศะ และการเตรียมตัวที่ดี ถ้าคุณไม่เตรียมพร้อมตัวคุณเอง ไม่เก็บผลงานของตัวคุณเอง ไม่ใส่ใจกับงานของตัวเอง หรือเมื่อกระทั่งไม่คิดที่จะสร้างผลงานด้วยตัวคุณเองแล้วละก็ กับเฉพาะสายงานศิลปะ การออกแบบ Design นี้ถ้าไม่มีผลงาน ไม่สร้างงาน ไม่มีอะไรที่สื่อถึงความสามารถของตัวคุณแล้ว คุณก็จะไม่มีอะไรเลย ไม่ควรเข้ามาอยู่ในสายงานนี้เลยจริงๆ เป็นเพียงแค่คนที่อยากได้ชื่อว่าเรียนศิลปะมาโก้ๆแค่นั้น
www.yuttapong.com โดย www.yuttapong.com อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา 3.0 ประเทศไทย.
อยู่บนพื้นฐานของงานที่ www.yuttapong.com.
การอนุญาตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในสัญญาอนุญาตนี้ อาจมีอยู่ที่ www.yuttapong.com