ทำไมถึงอยากเป็นข้าราชการ ภาค 2 ตอน ชีวิตตอนทำงานก่อนจะมาถึงปัจจุบัน
by admin on ม.ค..08, 2011, under ครูหมีขี้บ่น
หลังจากได้เล่าถึง ระบบ ระเบียบ และความเข้าใจในการเดินสายสอบเบื้องต้นไปแล้ว ในภาค 2 นี้ ผมจะมาเล่าประสบการณ์ของผมในการสอบที่ต่างๆ เน้นว่าประสบการณ์ของผมนะครับ ทำไมต้องเน้นก็ต้องบอกว่า ผมบอกไปแล้วว่าผมใช้เวลาถึง 6 ปี แล้วยังไม่ได้บรรจุเลย เริ่มตั้งแต่อายุ 25 จนตอนนี้ 31 จะ 32 แล้ว แต่มีบางคนที่มีความสามารถได้บรรจุไปตั้งแต่สอบครั้งแรก หรือบางคนไม่ต้องสอบเลยก็ได้บรรจุตามระเบียบพิเศษของหน่วยงานนั้นๆ….(ไว้อธิบายที่หลัง) และขอแทรกชีวิตในการทำงานก่อนที่จะมาเป็นปัจจุบันและจุดเปลี่ยนแปลงในระบบความคิดว่าทำไมผมถึงอยากทำงานเป็นข้าราชการ ไว้เพื่อเล่าถึงความทรงจำของตัวเอง ก่อนที่จะลืมๆมันไป และอาจเป็นประโยชน์กับใครบ้าง
ในตอนแรกๆ นั้น ผมไม่ได้หวังจะเป็นข้าราชการมากนักเพราะว่าได้ทำงานอิสระในวงการภาพยนต์โฆษณาหรือที่เรียกว่าคนเบื้องหลัง (ฟรีแลนด์) โดยการชักชวนของพี่และคนรู้จัก ตั้งแต่สมัยกำลังศึกษาอยู่ปีสุดท้าย เป็นวงการแห่งเสียงสีแสงและความไฮโซ ได้พบปะคนระดับซุปเปอร์สตาร์และทำงานกับคนดังๆ หลายต่อหลายคน ค่าตอบแทนก็สูง(มาก) และมีความสุขกับการทำงานจริงๆ สนุก ได้ใช้วิชาความรู้เต็มที่ตามที่เรียนมา เฮฮา สนุกสนาน ปาร์ตี้ งานเลี้ยง สุรา เหล้า เบียร์ บุหรี่ และอดนอน แต่……สิ่งที่ตามมาคือไม่มีเวลาพักผ่อนเลยและเริ่มมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
เมื่อทำงานไปได้สักพักใหญ่ๆ (ราวๆ 2 ปีกว่าๆ) ผมก็เริ่มรู้สึกตัวเองว่าในเส้นทางสายนี้ถ้าไม่มีสายป่านที่ยาวมากพอและโอกาสที่ดีพอคุณก็จะดับสูญไปในที่สุด ทั้งเพื่อนฝูงและเพื่อนร่วมงานที่คุณเจอกลางกองถ่ายหรือหลังกองถ่ายก็ช่วยไม่ได้มากเพราะทุกคนคือมืออาชีพ เค้ามาทำงานเพราะคนจ้าง เค้าทำงานกับเราเพราะเราจ้าง เค้าทำงานไม่ดีเราไม่จ้าง มีคนใหม่ๆ มาพร้อมแทนคุณเสมอ เพราะเป็นวงการที่ผลตอบแทนสูงใครๆก็อยากที่จะเข้ามาแทนที่คุณ แม้กระทั่งคนพี่ที่สนิทเมื่อเค้ามีงานบางครั้งเค้าก็ไม่จ้างเราเพราะว่าบางงานไม่เหมาะกับเราเหมาะกับอีกคนมากกว่า เราก็ไม่ได้งาน ไม่ได้เงิน และเค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะ คนจ้างเค้าไม่เลือกเรา เช่น งานของค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ตอนนั้นถึงผมจะเป็นคนสนิทที่สุดของ พี่ผู้กำกับรู้ใจที่สุด ดูแลได้หมดทุกอย่างแม้กระทั่งเงินระดับเป็นล้านๆ แต่ค่ายเพลงนั้นก็ไม่จ้างผมเพราะว่า เค้าจ้างแค่ ผู้กำกับคนเดียว ผู้ช่วยไม่ต้องการ เค้ามีคนของเค้าแล้ว แบบนี้เป็นต้น ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ว่างงานของผมพอดี ผมมีเวลานั่งทำงานอยู่ ออฟฟิต เพื่อเตรียมงานในครั้งหน้าต่อๆไปและการทำงานนั้นก็คืองานของค่ายเพลงนั้นอยู่ดี เมื่อมีเวลามากพอผมจึงเริ่มคิดได้ถึง ทางเดินชีวิตในการทำงานของผมในภายภาคหน้า…….มีต่อครับ
ผมคิดว่าเมื่อถึงตอนนั้น ถ้าผมอายุ 40 ปีไปแล้ว แล้วไม่มีงานแบบนี้จะทำอย่างไร ตกงานตอนแก่เหรอ นั้นคงไม่ใช่คำตอบของผม ผมเริ่มมองหางานประจำที่คิดว่าดีที่สุดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนและการพบปะกับผู้คนมากขึ้น นอกจากระบบกองถ่ายที่เจอกัน เมื่อผมหันมองกลับไปในทางที่ผมเดินมาปรากฏว่างานที่ผมทำอยู่นั้นถึงจะพบเจอกันคนมากมายแต่ ผู้คนเหล่านั้นไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับตัวผมมากนั้น คงมีเพียงรุ่นพี่และเพื่อนไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะคุยกันเรื่องงานได้นอกเหนือจากนั้นเป็นเพียงแค่คนที่เคยร่วมงานกัน ชีวิตคนเรามีขึ้นก็ต้องมีลง เมื่อถึงคราวงานไม่มีเพราะว่าผมเป็น ฟรีแลนด์ ก็ต้องขวนขวายหางานทำ ผมเริ่มรับทำงานเล็กๆน้อยๆ เช่น รับตัดต่อ MV ราคาถูกได้แค่ตัว 3,000-5,000 บาทต่อ 1 ชิ้นงานใช้เวลาทำราวๆ 1 อาทิตย์ หรือแม้กระทั่งตัวประกอบ(ด้วยลักษณะพิเศษของรูปร่างของตัวผมเองนั้นหายาก ฮ่าๆๆ)ค่าตัววันละ 500-1,500 ซึ่งฟังดูก็เหมือนจะดีแต่เมื่อผมยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ใน แวดวงไฮโซซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งอาหารการกิน การเดินทาง เพื่อนฝูงที่สนิทจริงๆ สมัยเรียน ก็เพิ่งจะเริ่มทำงานทำการกันและยังไม่กว้างขว้างมากนัก กลับกลายเป็นว่า ผมนั้นทำงานแบบก้าวกระโดดไปมากๆ เพื่อนที่ตามมาข้างหลังยังไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ผมขาดเพื่อนในวงการ ด้วยความที่ผมอายุยังน้อย ตอนนั้นเพิ่งจะ 23-24 แต่ดันมายืนก่อนหน้าเพื่อนแล้ว (ไม่ใช่เรื่องดีนะครับ) คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ใช่ว่าจะไม่มีแต่ มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถร่วมทำงานกับเค้าได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่อยากจะพูดถึงมากนักเป็นกำแพงกันระหว่างกลุ่มเค้ากับผมอยู่ มันทำให้ผมเริ่มเควงและไม่รู้จะไปพึ่งใครได้
ช่วงนั้นผมเริ่มคิดถึงงานประจำตามบริษัท เอเจนซี่ โปรดักชั่นเฮ้าส์ ที่ผมพอจะรู้จักอยู่บ้าง ผมได้ลองไปทำงานกับพวกเค้าอยู่เป็นระยะๆ มีบางที่เสนอให้ทำงานประจำเลย ให้ค่าตอบแทนตามสมควรซึ่งก็น่าสนใจอยู่ ทั้งระดับ เอเจนซี่ของผลิตภัณฑ์ของใช้ในบ้านชื่อดังหลายยี่ห้อ และบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยตอนนี้ ผมก็เคยเข้าไปทำงานพิเศษ หรือที่เรียกว่า ฟรีแลนด์ จนบางครั้งผมอยากทำงานกับเค้าเลยจริงๆจังๆ แต่…ด้วยสายป่านเก่าที่ผมเติบโตมากับพี่เค้า เมื่อมีงานเข้ามาผมก็กลับไปทำกับเค้าอยู่ดีอย่างเต็มใจ มันทำให้ผมไม่สามารถทำงานประจำได้เพราะว่างานประจำที่ผมคิดจะทำต้องหยุดชะงักและคงไม่มีใครให้โดดงานไปทำแน่ๆ…..
เมื่อมาถึงจุดนี้ผมผมที่อายุยังน้อยและมั่นใจในความสามารถตัวเองอย่างเต็มที่จนบางครั้งมากเกิน ก็ตัดสินใจลาจากวงการบันเทิงนั้นและถอยห่างออกมาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็เริ่มต้นใหม่กับชีวิตการทำงาน โดยการกลับมาบวชที่บ้านเมื่อายุเบญจเพสพอดีและสนับสนุนน้องชายที่เรียนมาสายเดียวกันให้เข้าไปทำงานแทนที่ผม ซึ่งน้องชายผมนั้นน่าจะมีสายป่านที่ยาวและข้ามกำแพงที่ผมเคยบอกไว้ได้ หลังจากกลับมาบ้านและได้ทดแทนบุญคุณแม่ตามประเพณีไปแล้วซึ่งชาตินี้ก็คงทดแทนไม่หมด ผมก็ได้เริ่มคิดทำธุรกิจของตัวเองบ้างหลังจากที่สะสมฝีมือมานานและยังไม่เคยมีร้านเป็นของตัวเอง ผมเปิดร้านรับทำงานกราฟฟิกกับเพื่อนที่สนิทกันอีกคนหนึ่ง รับทำและออกแบบสื่อต่างๆ ภายในจังหวัดลพบุรี ทำนามบัตร โปรเตอร์ สติกเกอร์ ป้ายร้านเล็กใหญ่ สกรีน เว็ปไซค์ วีดีทัศน์ ซึ่งผลตอบแทนไม่ดีนัก แม้จะมีคนมาจ้างทำงานอยู่อย่างต่อเนื่องแต่ค่าจ้างที่ได้รับไม่อาจจะทำให้ใช้ชีวิตอยู่ได้เพราะในตอนนั้นวงการกราฟิกยังไม่เจิรญเติบโตมากเมื่อเราเรียกค่าจ้างไปเค้าถึงกลับเดินหนีไปเลยก็มี กลายเป็นว่าผมต้องทำงานแลกค่าจ้างราคาถูกซึ่งเมื่อยิ่งทำไปยิ่งท้อ ไม่นับปัญหาต่างๆภายในร้านที่เกิดขึ้นอีก ทำให้ร้านก็มีอันต้องเลิกกิจการไป…
หลังจากได้ลองทำงานระบบ ฟรีแลนด์ งานบริษัท ร้านของตัวเอง มันทำให้ผมรู้ว่าถึงจะได้เงินดีขนาดไหนแต่ความมั่นคงไม่ค่อยมี คุณแม่ก็ได้ช่วยเหลือในการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของเทศบาลเมืองลพบุรีในสายงานตอนนั้นคือ นักข่าวประจำสำนักงานเทศบาลและ CG เงินเดือนนั้นน้อยมาก แต่ผมก็มีความสุขดีเพราะได้กลับมาทำงานที่ตัวเองถนัดอีกครั้ง ในที่ทำงานนั้นผมโดนกดดันมากๆ จากคนที่ทำงานอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งผมเหมือนเข้าไปโดนการฝาก (ซึ่งมันก็ฝากจริงๆ) แต่ในการฝากนั้นไม่ใช่ผมทำงานไม่เป็นหรือว่าเป็นมือสมัครเล่น แต่ก็ยังคงไม่มีใครในทีมตอนนั้นให้ความไว้ใจ ผมก็ทนทำงานไปโดนการถูกคนกดดันหวังว่าสักวันคงจะดีขึ้นเองแต่เมื่อยิ่งทำไปผมยิ่งถูกกดดันมากขึ้น ซึ่งในความกดดันนี้มันยอมรับไม่ได้จากคนที่ซึ่งไม่มีฝีมือเลย แต่ทำเป็นว่าตัวเองนั้นดี ตัวเองนั้นเก่ง ทั้งๆที่ผลงานที่เค้าทำออกมานั้นห่วยแตกและต่ำกว่ามาตรฐานมากๆ (งานที่ทำตอนนั้นคือรายการข่าวประจำ) แต่เค้าก็ยังคงได้รับความไว้ใจและให้ทำงานต่อไป จนวันหนึ่งที่ผมยอมไม่ได้คือ ผมได้นั่งทำ CG ช่วง Intro เข้าข่าวของรายการพิเศษ ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่างานอะไร น่าจะงานแผ่นดิน หรือว่าวันเด็กนี้ล่ะ ผมนั่งทำงานนอกเวลางานคือในวันเสาร์-อาทิตย์แบบฟรีๆ ตามคำสั่งของหัวหน้าตอนนั้น ทำเต็มที่เลยมั่นใจว่าสวยงามแน่นอน แต่เมื่อออกอากาศกลายเป็นว่า งานที่ผมทำไปนั้นโดนลบออกและไม่ถูกนำออกอากาศ เมื่อผมทวงถามก็ได้รับคำตอบว่า “ลบไปแล้ว” “ไม่เอาเอาของที่….ทำละกัน” (ซึ่งโครตห่วยแตกเลยครับ) มันทำให้ผมสติแตกและทะเลาะกับทีมเค้าไปเลย ผลก็คือไอ้เด็กคนนั้น (อายุ 21-22)ที่ทนงตัวว่าเก่งนั้นมันไม่ยอมมาทำงานแล้วกดดันว่าให้หัวหน้าไล่ผมออกไม่งั้นมันจะไม่มาทำงาน ซึ่งเค้าก็เข้าข้างเด็กเค้าและบีบให้ผมออกโดยการไม่ให้ทำงานและลบชื่อผมออกจากทีมงาน แต่ไม่สามารถไล่ผมออกได้เนื่องจากบารมีของคุณแม่ผม แต่มันก็ทำให้ผมไม่มีงานทำและไม่มีใครคุยกับผมในที่ทำงานเลย (ตอนนั้นทั้งทีมมี 4 คนรวมผมด้วยมีเพียงผู้ประกาศข่าวที่เป็นผู้หญิงเท่านั้นที่คุยกับผมนอกนั้นไม่คุย) …..
หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่มีงานทำและคิดที่จะลาออก แต่มีผู้อำนวยการท่านหนึ่ง เหมือนเค้าจะรู้เรื่องหรือจังหวะพอดีก็ไม่แน่ใจไม่เคยถามเหมือนกัน ท่านได้ชักชวนให้ผมย้ายจากที่นั้นขึ้นมาทำงานอยู่กับเค้าในตำแหน่ง ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ระบบคอมพิวเตอร์ คอยดูแลระบบคอมพิวเตอร์และเว็ปไซค์ของสำนักงานเทศบาลซึ่งไม่มีคนดูแลและออกแบบสื่อต่างๆของสำนักงานเทศบาลในหน่วยงานของกองประชาสัมพันธ์ ผมตกลงทันทีโดยไม่ต้องตัดสินใจนาน เหมือนหลุดพันจากนรกเลยครับงานในที่ทำงานใหม่นี้ผมมีอิสระเต็มที่ในการทำงาน แสดงความสามารถได้เต็มที่ เพื่อนร่วมงานมีแต่บุคลากรที่มีความสามารถที่ผมยอมรับจริงๆ ได้รับความไว้วางใจในเรื่องของการทำงานการตัดสินใจในการเลือกซื้อเลือกใช้อุปกรณ์ทุกอย่าง (ชุดคอมพิวเตอร์ที่ผมทำงานอยู่ตอนนั้นแพงที่สุดในสำนักงานเลยและไม่มีใครกล้ามาใช้ร่วมด้วยเลย) ผมทำงานอย่งมีความสุขอยู่ที่นั้นถึงเกือบ 5 ปี ซึ่งระหว่าง 5 ปีนี้ล่ะที่ทำให้ผมมองเห็นถึง อาชีพใหม่ นั้นคือ อาชีพ “ข้าราชการ”……
เกิดอะไรขึ้นทำไมผมถึงสนใจในอาชีพใหม่ที่ว่านี้ นั้นเพราะผมได้เห็นพี่ๆ คนอื่นๆ ที่เค้าทำงานอยู่นั้นมีความมั่นคงในอาชีพการงานมากๆ ตามที่ผมเคยเล่าในภาคที่ 1 ไปแล้วว่ามันมีดีอะไรบ้าง มันทำให้สิ่งที่ผมเคยคิดเมื่อตอนทำงานเป็น ฟรีแลนด์ อยู่ที่ กทม. นั้นหวนกลับมาอีกครั้ง และผมก็เริ่มที่จะลองสอบแข่งขันตามที่เค้าเปิดรับสอบดู ซึ่งในตอนแรกๆ วุฒิการศึกษาผมนั้นทางด้านศิลปะ จบเอกมัตติมีเดีย มีความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์สูง แต่มันทำให้สมัครได้ไม่กี่ตำแหน่งตามวุฒิการศึกษาที่จบมา ซึ่งศิลปะนั้นแทบจะไม่สามารถสมัครสอบอะไรได้เลย นอกจาก นักพัฒนาชุมชน ผมได้ลองไปสอบตามตำแหน่งนี้อยู่ 3 ครั้ง (สระบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี) แต่สอบไม่ติดเลยด้วยเนื้อของสายการนี้มีความซับซ้อนในเรื่องของการพัฒนาชุมชนมากๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับอาชีพที่ผมทำงานมาเลยมันก็เลยกลายเป็นว่าผมไม่มีความชำนาญทางด้านนี้เลย มันก็เลยสอบไม่ติดไงครับ เมื่อสอบไม่ติด ผมก็มานั่งทบทวนตัวเองว่าตัวเองนั้นอยากเป็นอะไรแน่ แน่นอนละต้องเป็นข้าราชการ……
ผมมานั่งนึกย้อนไปว่าตอนเรียนนั้นผมอยากเป็นอะไร ผมเคยมีความฝันว่าผมจะนำความรู้และประสบการณ์ที่ผมได้พบเจอมานำมาในชีวิต เป็นตัวอย่างและถ่ายทอดต่อคนรุ่นต่อไป นั้นก็คือ อาชีพที่เป็นเรือจ้าง หรือ “ครู” นั้นเอง เมื่อผมค้นพบตัวเองและมั่นใจ ตกลงใจ ในการที่จะก้าวเดินไปในด้านนี้แล้วก็ต้องเริ่มศึกษากันใหม่ว่าสายอาชีพนี้มันต้องมีอะไร อันดับแรกเลยในการที่จะทำงานสายอาชีพนี้ต้องมี “วุฒิครู” ซึ่งต้องอธิบายก่อนว่ามันคือไร วุฒิครูนั้น หมายถึง วุฒิการศึกษาที่เรียนมาในระดับปริญญาตรีที่มีรายวิชาที่สอนเกี่ยวกับความเป็นครูโดยตรง คือเรียนมาเพื่อจบมาเป็นครูโดยตรง สังเกตุง่ายๆคือในระหว่างการศึกษาต้องมีการฝึกสอนนั้นเอง ไม่ใช่ฝึกงานนะครับ คนละอย่างกัน นอกจากนั้นแล้วรายวิชาที่ต้องศึกษานั้นจะเป็นรายวิชาเฉพาะที่กระทรวงการศึกษาเป็นผู้กำหนดมาเลย 24 หน่วยกิต 10 วิชาไม่รวมฝึกสอน 360 ชั่วโมง ซึ่งทำให้บางหลักสูตรปกติไม่สามารถเรียนให้จบได้ในระยะเวลา 4 ปี ต้องมีเรียนต่อปีที่ 5 ทำให้เกิดสาขาใหม่ขึ้นมาเพื่อเอกครูโดยตรง ในส่วนของผู้ที่ไม่ได้เรียนครูโดยตรง(แบบผม) ก็จะเป็นหลักสูตรอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิชาชีพครูแต่อย่างใด ในอดีตคนที่จะเป็นครูไม่จำเป็นที่จะต้องมี “วุฒิครู” และเป็นการดีซะอีกที่เอาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการทำงานมาก่อน มาเป็นครูในภายหลัง ซึ่งผมก็ว่านั้นต้องดีกว่าเรียนจบแล้วมาเป็นครูเลยโดยขาดประสบการณ์ในการประกอบวิชาชีพใดๆมาเลยแล้วมาสอนผู้อื่นโดยเฉพาะสายอาชีพ หรือที่เรียกว่า อาชีวศึกษานั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าผมกำลังจะบอกว่าคนที่เรียนครูมาโดยตรงแล้วจบมาเป็นครูเลยจะไม่ดีนะครับในส่วนของครูเหล่านี้จะเหมาะสมกับระดับปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษาเป็นอย่างที่สุด เพราะครูเหล่านี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยวิชาการและการสอนอย่างมีหลัก ขั้นตอนอย่างดีเยี่ยม เพียงแต่บางวิชา บางสาขา บางหลักสูตรจำเป็นต้องใช้บุคลากรแบบผู้มีประสบการณ์มาสอน เช่น อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา เป็นต้น…..
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็จะพอเข้าใจว่าผมนั้นไม่มีสิทธิ์เป็นครูได้เพราะว่าผมจบสายตรง หมายถึงศิลปะเพียว เป็นระเบียบใหม่ของผู้ที่จะต้องประกอบอาชีพครู ต้องใบประกอบวิชาชีพ ผมเลยต้องไปเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครูเพื่อให้ผมมีคุณพร้อมที่จะเป็นครูอีก 1 ปี (ในปัจจุบันปรับเป็น 2 ปีแล้ว แล้วกำลังจะยกเลิกหลักสูตรนี้เพื่อให้บุคลากรครูนั้นต้องเป็นผู้ที่เรียนจบมาโดยตรง หมายถึงไม่มีการเรียนเสริมแบบนี้แล้วนั้นเอง) เมื่อผมจบมาแล้วได้ใบประกาศมาแล้วผมก็พยายามในการที่จะเป็นครูให้ได้ โดยเริ่มจากใกล้ๆ ตัวคือโรงเรียนในระบบท้องถิ่น หรือ โรงเรียนเทศบาลที่ผมทำงานอยู่นั้นเอง ผมพยายามที่จะย้ายตัวเองไปเป็นครูตามโรงเรียนเทศบาล (ครูจ้างสอนนะครับ ไม่ใช่บรรจุข้าราชการ) แต่ไม่สามารถไปได้เนื่องจาก ไม่มีผู้ให้ความสนใจและอาจจะเกิดจากความสับสนของผู้คัดเลือกว่า “วุฒิผมนั้นไม่สามารถเป็นครูได้” เนื่องจากจบสายตรงถึงแม้ผมจะสอบได้ใบประกอบวิชาชีพครูมาแล้วก็ตาม (ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพครูนะครับคล้ายๆ สาขาวิศวกรรมไม่ใช่แค่เรียนจบอย่างเดียวแล้วได้ใบประกาศนะครับ) โดยคำตอบที่ผมได้รับกลับมาจากผู้คัดเลือกคือ “เป็นไม่ได้ต้องจบครูสอนศิลปะโดยตรง” นั้นทำให้ผมท้อและก่อเกิดกำลังใจในการดิ้นรนด้วยความสามารถตัวเอง……
หลังจากไม่ได้รับการยอมรับและไม่สามารถเป็นครูจ้างสอนได้ตามโรงเรียนเทศบาล ที่อยากเป็นเพราะว่าเมื่อบุคลากรการศึกษาที่ไม่ใช่ข้าราชการทำการสอนไปได้ 2-3 ปี จะได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการโดยที่ไม่ต้องสอบแข่งขันเป็นกรณีพิเศษ (ดั่งที่เกรินไว้ในตอนต้นเรื่อง) ผมได้พิสูจน์ตัวเองว่าวุฒิผมและใบประกาศวิชาชีพครูและใบประกอบวิชาชีพครูที่ผมสอบมาได้โดยการรับรองของคุรุสภานั้น สามารถเป็นครู ได้ถูกต้องตามกฏหมาย ผมสอบครูแห่งแรกที่จังหวัดชัยภูมิ โดยสอบครูศิลปะและเมื่อประกาศผลออกมาผมสอบติดนั้นทำให้ข้อกังขาของผมที่เคยได้ยินมาจากปากของผู้คัดเลือกในตอนนั้นว่าผมไม่มีสิทธิ์เป็นครูนั้นไม่จริงแต่อย่างใด ทำให้ผมเสียโอกาศในการเข้ารับการคัดเลือก เพราะผู้บริหารเทศบาลเค้าไม่ทราบระเบียบขั้นตอนเหมือนผู้คัดเลือกครับ ผู้คัดเลือกต้องคัดไปก่อนแล้วผู้บริหารเค้าถึงจะเลือกบุคคลากรเข้าไปสอนนั้นทำให้ผมเสียโอกาศไปโดยเปล่าๆ เลยนอกจากนั้นแล้วหลังจากการสอบครูที่ชัยภูมิแล้วผมยังสอบติดครูที่โคราช นักวิชาการศึกษาที่อยุธยา และสอบครูพิเศษสอนที่วิทยาลัยเทคนิคติดและทำการสอนอยู่ ณ ปัจจุบัน นั้นแสดงให้เห็นว่าวุฒิผมสามารถเป็นครูได้แน่นอน แล้วโอกาสที่ผมเสียไปใครจะรับผิดชอบ……..
หลังจากที่ทำงานที่เทศบาลและพยายามสอบเป็นครูไม่ได้สักทีจนมาสอบติดครูพิเศษสอนที่สถาบันเก่าตัวเองคือที่คณะศิลปกรรม วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี ก็ได้เป็นครูสมใจ แต่ยังไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปได้ระดับหนึ่งคงต้องรอกันต่อไป ที่นี่ก็จะมาพูดถึงเรื่องของเทคนิคการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการซึ่งต้องขอบกต่อไปในภาคที่ 3 ตอน เทคนิคการสอบบรรจุข้าราชการ ในคราวหน้าครับเนื่องจากภาคนี้ผมลเต่เรื่องส่วนตัวยาวมากเลย ก็คิดไว้นานแล้วว่าจะบันทึกลงที่ใดที่หนึ่งไว้ให้ตัวเองและคนอื่นได้อ่านสักครั้งหนึ่งก็ทำเสร็จสักทีหลังจากร่างโครงเรื่องมานานหลายวันมากแล้ว เหอๆ….
ปล…อ้อลืมเล่าไปหน่อย เพื่อนๆที่ผมเกรินไว้ว่ายังตามมาไม่ทัน ณ ตอนนี้แต่ละคนได้ก้าวคนมายืนในจุดที่ประสบความสำเร็จแล้วได้ทำงานระดับชั้นนำของวงการภาพยนต์ไทยและต่างประเทศ (ของฮอลลีวูด) ได้เป็นผู้เขียนบทภาพยนต์และละครดังๆมากมาย เช่น ผู้ชายลันลา, ศิราพัชร ดวงใจนักรบ ภาพยนต์เรื่องโป๊ะแตก เด็กโต๋ และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงน้องชายผมที่ตอนนี้ก็มองหาธุรกิจส่วนตัวและประสบความสำเร็จไปแล้วโดยที่ทุกคนก้ยังวนเวียนอยู่ในวงการนี้ต่อไป โดยที่ผมก็ยังคงเตือนสติของพวกเค้าเมื่อมีโอกาสเสมอว่าอย่าวางใจในความสุข สบายปัจจุบันมองหนทางข้างหน้าในอนาคตไว้ด้วย ก็ขอให้ทุกคนประสบวามสำเร็จยิ่งขึ้นต่อไปครับ…การณ์อันใดที่ผมเคยพูดหรือกระทำไปถ้าไม่ถูกใจ ถูกอารม์ หรือถูกต้องก็ต้องขออภัยมาในโอกาสนี้เลย กระทำไปด้วยความหวังดีและจริงใจทั้งนั้นไมได้ต้องการให้เพื่อนหรือบุคคลใดต้องเสียหายเลย เพราะเล่าเรื่องนี้ไปก็ไม่ค่อยจะมีใครเชื่อนอกจากเพื่อนฝูงที่สนิทกันเท่านั้นถึงจะรู้ว่าผมพูดจริง…
ผู้เขียน/เรียบเรียง…จานหนุ่ม