ยุทธพงษ์ สืบภักดี : ครูหนุ่ม

Fonts ปัญหาโลกแตกของนักออกแบบในเครื่องคอมพิวเตอร์

by on ส.ค..07, 2011, under ครูหมีขี้บ่น

          Fonts คืออะไร? มันก็คือ แบบอักษร นั้นเอง หรือเรียกง่ายๆว่าตัวหนังสือที่เราๆ ท่านๆ ใช้ สื่อสารกันนี้ล่ะ แต่เมื่อยุคคอมพิวเตอร์เข้ามามีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะคนทำงาน office หรือ ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา คงจะหนีไม่พ้นเรื่องงานเอกสารที่ต้องทำจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ยิ่งเป็นพวกที่เรียนหรือทำงานทางด้าน ออกแบบ ทั้งหลาย ยิ่งต้องใช้แทบทุกวัน ทุกครั้ง ทุกเวลาไม่ว่าจะด้วยการเขียนด้วยมือ หรือใช้คอมพิวเตอร์

          ตัวผมนั้น เกิดและโตขึ้นมาในยุคที่เครื่องคอมพิวเตอร์เพิ่งจะเริ่มใช้งานกันอย่างกว้างขวาง คือสักตอนอายุ 7-8 ขวบ ที่บ้านก็เริ่มมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกมาใช้ ตอนนั้นยังคงจอสีเขียวๆ เครื่องละเป็นแสนบาท จริงเปล่าไม่รู้ฟังเค้าบอกมา แล้วมีเงินซื้อได้ไงว้าที่บ้านไม่ค่อยจะมีเงินนะตอนนั้นเท่าที่จำได้เป็นแค่ข้าราชการจนๆ แต่พอหลังจากนั้นผมก็รุ้ว่าคงจะเป็นไปได้เพราะว่าไม่นานนัก คุณน้าน้องคุณแม่ที่เป้นทหาร ก้ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ของ IBM มาใช้งานที่บ้านเครื่องละ แสนกว่าบาทจริงๆ (เค้าซื้อมาเพื่อทำงานเกี่ยวกับบัญชีการเงิน) ส่วนตัวผมนั้นก็ได้อนิจสงตามไปด้วยเพราะว่า อยากจะเล่นเกมแค่นั้นเอง ไอ้เครื่องจอเขียวมันไม่ค่อยมีเกมให้เล่นมากเท่าไร เป็น DOS อยู่เลยแต่เครื่องที่น้าซื้อมาใหม่เป็นจอสวยงามแล้ว เป็นวินโด 3.1 มั่งถ้าจำไม่ผิด เกมก็เริ่มมีความสวยงามมากขึ้น จำได้เลย นั่งรถเข้า กทม เพื่อไปซื้อเกม Simcity ที่ เซ็นทรัลลาดพร้าวกับพี่ชายแล้วก็รีบนั่งรถกลับมาบ้านที่ลพบุรีเพื่อเล่นเกม เหอๆ มานะจริงๆ ….แล้วเล่าทำไม อ่า อืม ก็เล่าเพราะว่าจะบอกว่าผมโตมาเป้นเด็กสองยุคจริงๆนะสิ คือ กำกึ่งระหว่างไม่มีคอมพิวเตอร์กับมีเครื่องพิวเตอร์แล้ว เพื่อบางคนที่ม่เข้าใจจะนึกไม่ออก ซึ่งส่วนนั้นผมก็เริ่มพิมพ์เอกสารเองแล้วตอนสัก ประถม 5-6 แล้วพิมพ์ออกมาด้วยเครื่องพิมพ์เข็ม โดยใช้โปรแกรมที่พิมพ์ตอนนั้คือ เวิร์ดจุฬา

 


ใครสนใจลองไปอ่านประวัติกันดูได้ครับที่ Link ทำไว้ที่ชื่อแล้ว


          หน้าจอดำๆ ตัวหนังสือ หลากสีสันเหลือเกิน ในหน้าจอง่ะนะ แต่พอพิมพ์ออกมาก็เป้นตัวสีดำสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยดี นั้นคือที่ผมเริ่มเข้าใจคำว่า Fonts และเป็นเหตุผลให้สนใจในคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ยุคแรกๆ เพราะว่า มันเท่ดีเวลารายงานไปส่งครูที่โรงเรียนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พิมพ์มา และอยากเปลี่ยน Fonts ให้มันสวยงามหลายๆ แบบ

          พอโตขึ้นมาและได้เลือกเรียนทางด้านศิลปะ ก็นี้ไม่พ้นเรื่องตัวหนังสือ อักษรต่างๆ ในช่วงนั้นมีการต้องใช้ตัวหนังสือเยอะในเรื่องของการเขียนแบบ หรือ design ผลิตภันณ์ต่างๆ และต้องมี detail sketch ของ idea ต่างๆของเราที่เรานำมาออกแบบ มันต้องเขียนตัวหนังสือเยอะมากมายไปหมดเลย บางครั้งก็เขียนสวย บางครั้งก็เขียนไม่สวย ปกติก็เป็นคนลายมือไม่สวยอยู่แล้ว จนเริ่มมีการใช้แบบตัวอักษรสำเร็จรูปที่เป็นไม้บรรทัดและมีเครื่องมือในการลากเส้นตาม พยายามนั่งนึกและหารูปตั้งนานหาไม่เจอว่ามันเรียกว่าไร หน้าตาง่ะพอนึกออก นานมากแล้ว จะเป้นไม้บรรทัดคล้ายๆ สเกล แต่มีตัวหนังสือที่เป็นร่องลึกไว้สำหรับใช้ เครื่องมืออะไรสักย่างของชุดเขียนแบบของ ล็อตติ่ง ในการจับปากกาแล้วลากตามร่องลึกนั้นแล้วปากกาก็จะเขียนตามแบบไปเอง สวยงาม….พอเข้าใจไหมครับ แล้วมันจะมีหลายแบบหลายขนาดทำออกมาเราก็บ้าซื้อกันเพราะว่าตัวหนังสือจะได้มีหลายๆแบบสวยงาม เหอๆๆ …นั้นก็เรียกว่า Fonts

          พอเข้าสู่ยุคของเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมก็หักเหตัวเองไปเรียนทางด้านออกแบบคอมพิวเตอร์กราฟฟิกเพื่อให้ทันต่อยุคสมัยและหน้าที่การงานในอนาคต มุ่งเข้าสู่เมืองมหานคร ไปตอนเรียนตอนแรกงานชิ้นที่ทำออกมาผมใช้การระบายสีด้วยมือไปส่ง อาจารย์ ตอนนั้นเป็นงาน ออกแบบโปสเตอร์อะไรสักอย่างนี้ล่ะจำไม่ได้ แต่เพื่อนรวมห้องตอนนั้นใช้คอมออกแบบมาส่งแล้ว รู้สึก อายเพื่อนๆ เพราะว่าใช้มือระบายสีมันก้มีข้อจำกัดหลายอย่างทั้งในเรื่องของ ภาพที่ดูไม่สมจริง ตัวหนังสือที่เขียนไม่สวย และความรวดเร็วในการทำงาน

          ก็เลยไปอ้อนคุณแม่ บอกถึงความจำเป็นจริงๆ คุณแม่ให้เงินมาซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของตัวเองในชีวิต ด้วยราคาเกือบ 60,000 บาท ซื้อเองกับมือทุกชิ้นแยกเป็นชิ้นแล้วมาให้น้าประกอบ ได้ Pentium 3 500 Hz กับ RAM 128 MB และ VGA GF2 ซึ่งทุกวันนี้เครื่องนี้ยังไม่พังเลยยังใช้งานได้อยู่แต่ ปลดระวางแล้วเพราะความเร็วที่ต่ำและบริโภคไฟสูงมาก ฮ่าๆ ตอนได้เครื่องมาใหม่ก็ซุกซนมาก รื้อๆ ถอดๆ ลองโปรแกรมโน่น โปรแกรมนี้ ลง OS เอง ประกอบเอง จนคล่องและเป็นเครื่องครูของผมเลย เคยทำมันพังไปครั้งเพราะว่าไฟมันช็อด บอร์ดพังเลยดีนะอยู่ในประกันเอาเครมได้ไม่งั้น มีเศร้ายาว พอได้เครื่องมาก็เริ่มฝึกฝนใช้โปรแกรมจนคล่อง สมัยนั้นไม่มีหนังสือ ไม่มีผู้รู้มากนัก การเรียนรู้จึงเป้นเรื่องของการฝูมฝักลักจำ จากคนที่ใช้งานเป็นแล้ว เช่น ร้านอินเตอร์เน็ตหน้าโรงเรียน ร้านรับ print งานหน้าโรงเรียน นั่งดูรุ่นพี่ทำงานและสอบถามเป็นบางครั้ง จงจำไว้ว่ามนุษย์นั้น ถ้าเราไปสอบถามเค้ามากๆ เค้าจะลำคาญ แต่ถ้าเรานั่งดูและค่อยลักจำไปเองแล้วไปลองทำแล้วเกิดปัญหาจึงค่อยมาปรึกษา เค้าจะให้คำตอบมากกว่าไปนั่งถามเค้าว่า “ทำอย่างไง” “ขั้นตอนเป้นไง” เค้าจะไม่ค่อยอยากบอกหรือขี้เกียจจะบอก เราลองลงมือทำเองก่อนจะเรียนรู้ได้ไวกว่า นี้คือเหตุผลหนึ่ง ที่ตัวผมนั้นจะชอบลงมือทำเองมากกว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำได้ ถ้ามีปัญหาแล้วเราถึงค่อยไปปรึกษาคนที่รู้แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีความรุ้มาล่วงหน้าเลยนะครับ เราต้องรู้จักศึกษาหาข้อมูลและความรู้ ทดลองมาก่อนแล้วด้วย..

          แล้วมันเกี่ยวกับ Fonts อย่างไงฟ่ะ? ฮ่าๆ คนที่อ่าน (ถ้ามีนะเหอๆๆ) คงจะกำลังนึกอยุ่ว่าเล่ามาตั้งนานยังไม่เห้นเข้าเรื่องตามหัวข้อเลย “Fonts ปัญหาโลกแตกของนักออกแบบในเครื่องคอมพิวเตอร์” นี้ล่ะครับกำลังจะเริ่มเล่าแล้วหลังจาก ออกทะเลไปถึงอเมริกาแล้ว ฮ่าๆๆ เรื่องของ Fonts ของผมมันเริ่มจากตามที่เล่านั้นล่ะ คือเราเรียนด้านออกแบบและศิลปะมาตอนยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ไปเช่าใช้ตามร้านและลักจำมาเยอะใช้จนพอเป็นแล้ว แล้วพอได้คอมเครื่องแรกมาเราก็เข้าใจว่า Fonts ที่เราเคยหัดทำมาจากร้านคอมพิวเตอร์นั้น คงจะมีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ยู่แล้วมั่งพอได้คอมพิวเตอร์มาเปิดเครื่องทำงาน และเริ่มออกแบบ ……”อ้าว Fonts ไปไหนหมดวะไม่เห็นมีเลยมีอยู่หยิบมือเอง????” นั้นคือปัญหาเริ่มต้น เก็บปัญหาคับข้องใจนี้ไว้ตอนเช้ารีบดิ่งไปร้านคอมพิวเตอร์หน้ามหาลัยเจ้าประจำ ถามเค้า “พี่ครับทำไมคอมผมไม่เห็นมี Fonts เหมือนร้านพี่เลยละครับ” เค้าตอบ “อ้อน้อง Fonts มันต้องติดตั้งเองครับไม่มีมาให้” อ้อ….ผมถึงได้บางอ้อว่า Fonts นั้นเราต้องหามาเองนี้เอง

          พอตกเย็นผมก็นั่งรถไป พันทิพย์ แหล่งอโคจร ทันที ที่ว่าแหล่งอโคจรเพราะว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวกับของละเมิดลิขสิทธิ์ และผิดกฏหมายอยุ่ที่นั้นหมดเลย ในเมื่อผมต้องการไปหา Fonts และโปรแกรมต่างๆ ก็ต้องไปซื้อหาแผ่นที่นั้น ไปถึงก็เลือกๆ โดยไม่รู้มันเป็นไงมั่งใช้ไง รู้แต่ว่าเอามาลองก่อนน่าแล้วคงเข้าใจเอง พอกลับมาถึงห้องพัก ก็จัดการ copy Fonts ในแผ่นลงไปที่ เครื่องคอมพิวเตอร์เลยแบบตรงๆ ปรากฏว่าเปิดโปรแกรมทำงานขึ้นมา โปรแกรมยังมองไม่เห็น Fonts อีก…..นั่งลองอยู่ตั้งนานก็ยังไม่ได้ เก็บคำถามไว้ในใจต่อ ไปถามพี่เค้าวันรุ่งขึ้น “อ้อน้อง มันต้องลงให้ถูกวิธีด้วย โดยการ install News Fonts ให้ถูกต้องเครื่องมันถึงจะรู้จัก Fonts” อ้อ…….ผมก็เลยบางอ้ออีกครั้ง กลับมาห้องลองทำดู อ่า…สำเร็จโปรแกรมสามารถมองเห็นและใช้งาน Fonts ที่ลงไปใหม่ได้แล้ว ก็นั่งทำงานออกแบบไปอย่างสบายใจจนเสร็จ เอาไป print ที่ร้านแล้วก็เอาไปส่งอาจารย์ แต่…..

          พอไปส่งอาจารย์ อาจารย์ตำหนิมาอย่างแรงว่า “สระลอย” ???????? คือไรวุ้ย อาจารย์ก็อธิบายให้ว่า สระลอย คือการที่ สระและวรรณยุกต์ ต่างๆ ในภาษาไทยนั้นอยู่ในส่วนที่สูงเกินไปของข้อความ ทำให้ในทางออกแบบแล้วดูไม่สวยงาม และเป็นข้อผิดพลาดที่ นักออกแบบยึดถือกันมากๆ ซึ่งเกิดจากการที่คอมพิวเตอร์นั้นถูกออกแบบมาโดยภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาอังกฤษนั้นจะไม่มีสระและวรรณยุกต์ แต่พอมาเพิ่มภาษาไทย ภาษาไทยนั้นมีความซับซ้อนในเรื่องของการผสมสระและวรรณยุกต์มาก ที่เป็นปัญหาเลยคือการซ้อนกันของ สระและวรรณยุกต์สองตัวเช่น “นั้น” “อิ่ม” “สิทธิ์” เป็นต้น จะเห็นได้ว่า มี สระและวรรณยุกต์ ซ้อนกันสองตัวทำให้การเขียนโปรแกรมเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่วางสระและวรรณยุกต์ ทับกันจนอ่านไม่ได้ จึงจำเป็นต้องให้ “วรรณยุกต์” นั้นขึ้นไปอยู่สูงสุดเสมอแม้มีแค่ตัวเดียว เช่น “ถ้า” “ว่า” “จ๋า” เป็นต้น

          แล้วทำไมถึงเรียกว่า “สระลอย” ว้า ทั้งที่จริงๆแล้วสิ่งที่ลอย คือ “วรรณยุกต์” ต่างหากฮ่าๆๆ ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ในตอนนั้นสิ่งที่แก้ปัญหาของการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์นั้น มีคนเขียนโปรแกรมออกมาแก้ไขตั้งหากสำหรับ บริษัท ห้างร้านที่ทำงานด้านออกแบบและสิ่งพิมพ์ที่รู้จักกันกว้างขวางเลยคือ ชุดโปรแกรม “ก.ไก่ 2000” หรือในปัจจุบัน kokai ก็ยังมีอยู่ ซึ่งเป็นโปรแกรมลิขสิทธิ์ เคยไปถามซื้อในตอนนั้น ราคาสุงมากถึง 4000-5000 บาท คงจะเอามาใช้ไม่ไหวสำหรับนักศึกษาอย่างเรา จนผมค้นพบวิธีทำให้สระไม่ลอยแบบง่ายๆ จากใครผมจำไมได้จริงๆ ว่าใครเป็นคนสอนผม นั้นคือการพิมพ์ “รหัสของตัวอักษร” ลงบนคีย์บอร์ดตามสระที่มีอยู่ในเครื่องแบบตายตัวทุกเครื่อง คือ กดปุ่ม Alt บนคีย์บอร์ดค้างไว้แล้วกดตัวเลขด้านขวามือของคีย์บอร์ดตามแล้วปล่อยปุ่ม Alt ที่กดค้างไว้ตัวสระและวรรณยุกต์ จะขึ้นมาแล้วจะขึ้นมาในตำแหน่งที่ถูกต้องโดยไม่มีการกลายเป้น “สระลอย” แต่อย่างใด วิธีกดก็ตามตารางข้างล่างนี้

 

 สระและวรรณยุกต์  อ่านว่า  วิธีกด
 ่  ไม้เอก  Alt+0139
  ้  ไม้โท  Alt+0140
  ๊  ไม้ตรี  Alt+0141
  ๋  ไม้จัตวา  Alt+0142
 ก์ การันต์  Alt+0143

 

 

          นั้นคือวิธีแก้ที่ประหยัดและง่ายที่สุด แต่…ถ้ามีตัวหนังสือเยอะก็กดกันมือหงิกเลยที่เดียว …แต่พอเวลาผ่านมาก้มีนักพัฒนา ทั้งโปรแกรมเมอร์และนักศึกษาด้านวิศวะคอมพิวเตอร์ หรือ วิทยาการคอมพิวเตอร์ ก็ได้พัฒนาโปรแกรมแบบที่ใช้ได้ฟรีออกมาเยอะมากมายให้ได้ลองใช้ ผมก็ได้ลองใช้หลายเจ้า จนได้ถูกใจคือ Gazib.com ReVowel ซึ่งใช้ฟรี พัฒนาโดยคุณ เชาวลิต กรพิพัฒน์ ซึ่งสามารถแก้ไขทั้งประโยคได้เลยโดยการนำข้อความไปวางในโปรแกรมแล้วกดให้ทำการแก้ไข ก็จะแก้ให้เองและนำมาวางในโปรแกรมที่เราใช้งานอยู่

 

          ซึ่งพอระยะเวลาผ่านมาเรื่อยๆ การเริ่มแก้ปัญหาที่ถูกจุดก็เริ่มได้รับการแก้ไขจากต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง นั้นคือ การเขียนโปรแกรมและเข้ารหัส Fonts ให้ถูกต้องตั้งแต่แรกนั้นเอง….

          Fonts ภาษาไทยนั้น แต่ก่อนนั้นถูกออกแบบโดยการเข้ารหัสแบบ ASCII ซึ่ง การเข้ารหัสแบบ ASCII นั้น อักขระไทย จะถูกแทนที่อักขระลาตินที่ไม่มีการใช้งานมากนัก เนื่องจาก เทคโนโลยีในสมัยนั้นการเข้ารหัสตัวอักษรจะมีเพียง 8bit หรือมีได้ 256 อักขระ จึงมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่อักขระ 128 อักขระช่วงหลังเป็นการชั่วคราว ซี่งประเด็นนี้ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะของอักษรไทยเท่านั้นแต่เป้นปัญหากับทุกภาษาทำให้ไม่สามารถใช้งานภาษาต่างๆ ได้พร้อมๆกัน แต่ในภายหลังได้มีการเข้ารหัสแบบใหม่นั้นคือแบบ Unicode ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและจัดระเบียบของ Fonts ทุกภาษาให้สามารถใช้งานได้ทุกภาษา Unicode เป็นการสร้างแก้ไขปัญหาข้อพิพาทการใช้งานของอักขระหลายชาติในพื้นที่เดียวกัน ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อตกลงแบ่งแยกพื้นที่อย่างชัดเจนให้แต่ละชาติ แต่ละภาษา นอกจากนี้ยังทำให้สามารถใช้งานหลายภาษาร่วมกันได้ซึ่งตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมาได้มีการรองรับการใช้งาน Unicode ใน OS ต่าง ๆ รวมถึง โปรแกรมใช้งานต่าง ๆ ก็ได้หันมาใช้งาน Unicode และในขณะนี้ Unicode ก็ได้เป็นมาตรฐานสากลหรือ ISO แล้ว ส่วน Thai Fonts ที่เป็น Unicode นั้นในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลาย โดยมีทั้งที่เจ้าของลิขสิทธิ์ขายและ เจ้าของลิขสิทธิ์ให้ใช้งานกันโดยไม่คิดมูลค่า

          ความเป็น unicode ทำให้แลกเปลี่ยนเอกสารระหว่าง platform ต่างๆ ที่สนับสนุนเป็นความจริงได้แต่ unicode ไม่ backward compatible กับโปรแกรมที่ไม่สนับสนุนในกรณีที่ไม่ใช่ตัวอักษรภาษาอังกฤษพื้นฐานความเป็น opentype ช่วยให้ฟอนต์ฉลาดขึ้น ซืึงก็ขึ้นกับ “โปรแกรม” ที่เขียนฝังลงไปในฟอนต์ opentype ตอนที่สร้าง เช่น ปรับระดับสระ วรรณยุกต์ได้เองเหมือนกับที่ TSP, Kokai ทำ หรือการปรับ kerning และเลขเศษส่วน เป็นต้น จริงๆ เราประยุกต์ได้เยอะมากๆ ครับ ความเป็น opentype ทำให้มีโอกาสที่จะดีไซน์ฟอนต์ที่ ฉลาด มากขึ้น ทำให้คนทำงานสามารถทำงานได้ตรงกับที่ต้องการมากยิ่งขึ้นอีก

ตัวอย่าง..
          คุณทำงานกับไฟล์งานของ Adobe CS2 ที่ใช้กับฟอนต์ DB X ทำให้คุณเอาไฟล์นั้นไปเปิดในเครื่อง PC ที่มี Adobe CS2 ของ windows + DB X font ตัวเดิม ได้เลย ไม่ผิดเพี้ยน ปวดหัวน้อยลงเยอะครับ… และทั้งหมดก็ปรับวรรณยุกต์ สระ และที่ควรจะเป็นในภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้อยู่แล้วครับ ยกเว้นตัดคำ เพราะไม่ใช่เรื่องของ font ครับผม

เครดิต คุณ Jedt3D
http://www.freemac.net/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=11682

          สำหรับโปรแกรมสมัยใหม่อย่างเช่น Adobe CS ต่างๆน่ะครับ ต้องใช้ Font Unicode เท่านั้น (ภาษาไทย) เพราะว่าการเข้ารหัสแบบ ASCII เนี่ยมันไม่เจ๋งพอ (Unicod คือการเข้ารหัสตัวละ 2 Byte ซึ่งสามารถบรรจุตัวอักษรได้มากถึง 65,000 กว่าตัว ลงใน Font Family เดียวกันได้) โปรแกรม MS Office ให้ใช้ฟอนต์ในโฟลเดอร์ OF ส่วน โปรแกรม PageMaker ให้ใช้ฟอนต์ในโฟลเดอร์ SP และโปรแกรม Photoshop, Illustrator, และ Corel Draw ให้ใช้ฟอนต์ในโฟลเดอร์ AD

          การติดตั้งฟอนต์สำหรับโปรแกรม Adobe Illustrator และ Photoshop?นอกจากจะติดตั้งตามวิธีมาตรฐานโดย install ผ่านทาง control panel แล้ว อาจติดตั้งตามวิธีต่อไปนี้ได้:
          1. copy ฟอนต์ทั้งหมดจาก แผ่นซีดี โดยเลือกจากโฟลเดอร์ for AD
          2. paste ฟอนต์ลงในโฟลเดอร์ “Fonts” ของ “Program files” ใน drive C ตาม directory ต่อไปนี้: c:\Program files\Common files\Adobe\Fonts

          แต่ถ้ามีฟอนต์อะไรแล้วลงหมดเครื่องคุณจะช้านะครับ..ควรหาโปรแกรมจัดการฟอนต์อย่างเช่น Suitcase หรือ ATM

          สรุป…Font ทั่วไปจะมีการเข้ารหัสอยู่สองแบบ คือ Ascii กับ unicode เอาเป็นว่า รุ่นเก่าใช้ ASCII รู่นใหม่ ใช้ Unicode ดังนั้นหากคุณใช้ Photoshop CS2 หรือ Illus CS ขึ้นไป จำเป็นต้องใช้ Font ที่มีการเข้ารหัสเป็น Unicode ถ้าไม่ใช้ font ที่มีการเข้ารหัสดังกล่าวแล้วเวลาพิมพ์ภาษาไทยจะเป็นเครื่องหมายคำถามไม่ก็ สี่เหลี่ยม ***ย้ำ Photoshop ต้องเริ่มที่ CS2 ส่วน Illustrator เริ่มที่ CS เฉยๆ ถึงจะ support unicode และถ้าคุณใช้ Photoshop CS เฉยๆ ยังต้องใช้ฟอนท์แบบเก่าอยู่ แล้วก็มีปัญหากับ ญ ก็ยังมีอยู่เช่นกัน

เครดิต ขอขอบคุณข้อมูลจากเป็นอย่างสูงครับ
http://www.macdd.com/macddv3/index.php/component/myblog/Thai-Free-Fonts.html

http://tungblog.atikomtrirat.com/2009/01/font-opentype-unicode.html

          ยิ่ง ณ ปัจจุบัน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้กำหนดให้ หน่วยงานราชการและรณรงค์ให้ คนไทยใช้ฟอนต์ไทยสารบรรณ และ 13 ฟอนต์แห่งชาติ O_O เพื่อความเป็นไทย และให้ ดาว์นโหลด ได้ฟรีเพื่อนำไปติดตั้งและใฃ้งานในเรื่องของเอกสารต่างๆ  ก็เลยมาเล่าให้ฟังในนี้ หลังจากไม่ได้เข้ามาซะนานเพราะว่าที่ทำงานใหม่นั้นไม่มี internet ให้ใช้ พอกลับมาบ้านทีและพอมีเวลาก็จะนำเรื่องมาเล่าให้ฟัง ไว้คราวหน้าถ้ามีเวลาว่าง อยากจะเล่าถึง อุดมการณ์และประสบการณ์ต่างๆที่เจอมาให้ฟังไว้รอโอกาสเหมาะก่อนนะครับ วันนี้ต้องขอตัวไปก่อนละเดินทางกลับไปทำงานต่อที่ เสิงสาง จ.นครราชสีมา ลาละครับ สวัสดีครับ

ครูหนุ่ม 2011-08-07

ปิดความเห็น บน Fonts ปัญหาโลกแตกของนักออกแบบในเครื่องคอมพิวเตอร์ more...

บทสรุป เมื่อได้เป็นข้าราชการ ตอนที่ 3 (จบ)

by on เม.ย..06, 2011, under ครูหมีขี้บ่น

 

บทสรุป เมื่อได้เป็นข้าราชการ ตอนที่ 3 (จบ)

          เว้นว่างไปนานเลยสำหรับบทความตอนที่ 3 ซึ่งจะเป็นบทสรุปในเป้าหมายในชีวิตของผมในการที่จะเป็น “ข้าราชการ” ในบทความที่แล้วผมได้เล่าถึงแรงบันดาลใจและเหตุผลของการที่ต้องการจะเป็น “ข้าราชการ” ให้ได้และแนวทางในการทำข้อสอบ หรือที่เรียกว่าเกร็งข้อสอบให้สอบติด

          ก่อนจะเล่าต่อไปก็ต้องเกรินถึงความรู้ความสามารถของตัวเองก่อนเพื่อที่คนอ่านจะได้เกิดแรงบันดาลใจ….เพราะอะไรเหรอครับ นั้นเพราะว่า อันตัวกระผมนั้นไม่ใช่คนที่เรียนเก่ง คืออยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางแย่ เรียนจบตอน ปวช. มาแบบเส้นยาแดงผ่าแปด คือ 2 หน่อยๆแค่นั้นเอง มาดีขึ้นตอน ปวส. หน่อยเพราะเริ่มตั้งใจเรียนนิดๆ และจบ ป.ตรีมาด้วยเกรด ราวๆ 2.9 เกือบ 3 ซึ่งก็ถือว่า ปานกลางสำหรับคนที่เรียน “ราชภัฎ” เพราะน้อยกว่านี้ บริษัท ห้าง ร้านก็แทบจะไม่รับทำงานแล้ว แต่ที่พูดมานี้ไม่มีผลต่อการสอบแต่อย่างใดมีผลตอนสัมภาษณ์งานแค่นั้นเองที่เค้าจะมองมาที่กระดาษแผ่นนี้ด้วย ฉะนั้นการทำให้ตัวเลขเหล้านี้มันสวยงามก็เป็นเรื่องสำคัญครับ จงจำไว้ให้ดีอย่ามองว่ามันเรื่องเล็ก

          บทความที่แล้วผมได้บอกไปแล้วว่า สอบอะไรไปบ้างติดอะไรไปบ้าง ไม่ติดอะไรบ้าง ซึ่งครั้งนี้ก็จะมาบอกว่าทำไมถึงติดและไม่ติด ในการสอบครั้งแรกของชีวิต (เพราะตั้งแต่ อนุบาลยัน ปวส. ผมได้โควต้ามาตลอดเลยไม่เคยสอบสักครั้งเดียว) สอบครั้งแรกนั้นคือการสอบ เอ็นสะทราน เข้ามหาลัย ซึ่งผมอยู่ในช่วงชีวิตของการสอบแบบระบบใหม่และเก่าพอดี ระบบเก่าคือ สอบตรงวัดไปเลยครั้งเดียวติดไม่ติด เก่งไม่เก่งวัดกันไปเลย ซึ่งแน่นอนครับ ผมสอบไม่ติดในครั้งแรกเลย ซึ่งทำให้ผมเคว้งพอตัวเลยที่เดียวเพราะว่าไม่มีที่เรียนต่อ เลยต้องมาเรียนต่อ ปวส เป็นการแก้ขัดไปก่อน 1 ปี ปีต่อมาใช้ระบบใหม่คือการสอบแบบสำรวจตัวเอง คือสามารถรู้ว่าตัวเองมีความรู้ความสามารถขนาดไหน ทำคะแนนได้เท่าไร ถ้าเลือกคณะนี้มีสิทธิ์จะติดไหมจากคะแนนที่ตัวเองทำได้ ปีนึงสอบ 2 ครั้ง แล้วเอาคะแนนที่ดีที่สุดมารวมๆ บวกๆกันเพื่อไปวัดกันเข้าคณะที่ตัวเองชอบ ซึ่งเมื่อผมรวมคะแนนแล้วมีสิทธิ์เข้าที่ ลาดกระบัง คณะนิเทศศิลป์แบบฉิวเฉียด คือ ดูจากคะแนนขึ้นต่ำของปีที่ผ่านมา ซึ่งคือ 240 คะแนน แต่ผมรวมแล้วผมได้ 250 คะแนนซึ่งก็ถ้าว่าผ่าน แต่เมื่อเลือกคณะไปแล้ว แล้วประกาศผลออกมาปรากฏว่า คะแนนขั้นต่ำดันพุ่งขึ้นไปถึง 280 คะแนนในปีนั้น ทำให้ผมซิ๋วไปอีก 1 ปี และกำลังจะเรียนจบ ปวส แล้วคงต้องหมดหวังกับชีวิตมหาวิทยาลัยที่ฝันไว้ไปแล้วเลยเบนเข็มไปต่อ 2 ปีหลังเพื่อจบ ป.ตรีเลยจะดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลาในการศึกษา และไปสอบติดที่สวนดุสิต(รอบ 2 นะรอบแรกไม่ติดหรือที่เรียกว่ารอบรับหมดง่ะเหอๆๆ) แต่ยังดีที่น้องชายสามารถสอบเข้าไปได้ทำให้ผมดีใจไปด้วยที่สามารถเข้าเรียนที่ที่ผมอยากได้ T^T ผมก็เลยกลายเป็น “เด็กราชภัฏ” ไป คำนี้ทำไมถึงเน้นเพราะว่าสมัยนั้นผมโดนดูถูกและกดดันจากคนแถวบ้านที่สามารถเรียนต่อที่ดีๆกันได้เยอะ คำที่ผมเจ็บใจที่สุดเลยก็คือ มีผู้ใหญ่พ่อของเพื่อนคนหนึ่งที่ลูกเค้าเข้ามหาลัยของรัฐได้ถามผมเมื่อผมไปที่บ้านของเค้าว่า “เรียนต่อที่ไหน” ผมตอบไปว่า “ราชภัฎสวนดุสิตครับ” เค้าทำหน้าตาเย้ยๆว่า “อ้อ ราชภัฎเหรอ” คำๆนี้ทำให้ผมมีเป้าหมายขึ้นมาในชีวิตทันที นั้นคือ “ตูจะยิ่งใหญ่ให้ดู ตูจะทำให้ดูว่าเด็กราชภัฏก็ประสบความสำเร็จในชีวิตได้”….

(continue reading…)

2 Comments more...

ทำไมถึงอยากเป็นข้าราชการ ภาค 2 ตอน ชีวิตตอนทำงานก่อนจะมาถึงปัจจุบัน

by on ม.ค..08, 2011, under ครูหมีขี้บ่น

 

หลังจากได้เล่าถึง ระบบ ระเบียบ และความเข้าใจในการเดินสายสอบเบื้องต้นไปแล้ว ในภาค 2 นี้ ผมจะมาเล่าประสบการณ์ของผมในการสอบที่ต่างๆ เน้นว่าประสบการณ์ของผมนะครับ ทำไมต้องเน้นก็ต้องบอกว่า ผมบอกไปแล้วว่าผมใช้เวลาถึง 6 ปี แล้วยังไม่ได้บรรจุเลย เริ่มตั้งแต่อายุ 25 จนตอนนี้ 31 จะ 32  แล้ว แต่มีบางคนที่มีความสามารถได้บรรจุไปตั้งแต่สอบครั้งแรก หรือบางคนไม่ต้องสอบเลยก็ได้บรรจุตามระเบียบพิเศษของหน่วยงานนั้นๆ….(ไว้อธิบายที่หลัง) และขอแทรกชีวิตในการทำงานก่อนที่จะมาเป็นปัจจุบันและจุดเปลี่ยนแปลงในระบบความคิดว่าทำไมผมถึงอยากทำงานเป็นข้าราชการ ไว้เพื่อเล่าถึงความทรงจำของตัวเอง ก่อนที่จะลืมๆมันไป และอาจเป็นประโยชน์กับใครบ้าง

ในตอนแรกๆ นั้น ผมไม่ได้หวังจะเป็นข้าราชการมากนักเพราะว่าได้ทำงานอิสระในวงการภาพยนต์โฆษณาหรือที่เรียกว่าคนเบื้องหลัง (ฟรีแลนด์) โดยการชักชวนของพี่และคนรู้จัก ตั้งแต่สมัยกำลังศึกษาอยู่ปีสุดท้าย เป็นวงการแห่งเสียงสีแสงและความไฮโซ ได้พบปะคนระดับซุปเปอร์สตาร์และทำงานกับคนดังๆ หลายต่อหลายคน ค่าตอบแทนก็สูง(มาก)  และมีความสุขกับการทำงานจริงๆ สนุก ได้ใช้วิชาความรู้เต็มที่ตามที่เรียนมา เฮฮา สนุกสนาน ปาร์ตี้ งานเลี้ยง สุรา เหล้า เบียร์ บุหรี่ และอดนอน  แต่……สิ่งที่ตามมาคือไม่มีเวลาพักผ่อนเลยและเริ่มมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในใจ

เมื่อทำงานไปได้สักพักใหญ่ๆ (ราวๆ 2 ปีกว่าๆ) ผมก็เริ่มรู้สึกตัวเองว่าในเส้นทางสายนี้ถ้าไม่มีสายป่านที่ยาวมากพอและโอกาสที่ดีพอคุณก็จะดับสูญไปในที่สุด ทั้งเพื่อนฝูงและเพื่อนร่วมงานที่คุณเจอกลางกองถ่ายหรือหลังกองถ่ายก็ช่วยไม่ได้มากเพราะทุกคนคือมืออาชีพ เค้ามาทำงานเพราะคนจ้าง เค้าทำงานกับเราเพราะเราจ้าง เค้าทำงานไม่ดีเราไม่จ้าง มีคนใหม่ๆ มาพร้อมแทนคุณเสมอ เพราะเป็นวงการที่ผลตอบแทนสูงใครๆก็อยากที่จะเข้ามาแทนที่คุณ แม้กระทั่งคนพี่ที่สนิทเมื่อเค้ามีงานบางครั้งเค้าก็ไม่จ้างเราเพราะว่าบางงานไม่เหมาะกับเราเหมาะกับอีกคนมากกว่า เราก็ไม่ได้งาน  ไม่ได้เงิน และเค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะ คนจ้างเค้าไม่เลือกเรา เช่น งานของค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ตอนนั้นถึงผมจะเป็นคนสนิทที่สุดของ พี่ผู้กำกับรู้ใจที่สุด ดูแลได้หมดทุกอย่างแม้กระทั่งเงินระดับเป็นล้านๆ แต่ค่ายเพลงนั้นก็ไม่จ้างผมเพราะว่า เค้าจ้างแค่ ผู้กำกับคนเดียว ผู้ช่วยไม่ต้องการ เค้ามีคนของเค้าแล้ว แบบนี้เป็นต้น ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ว่างงานของผมพอดี ผมมีเวลานั่งทำงานอยู่ ออฟฟิต เพื่อเตรียมงานในครั้งหน้าต่อๆไปและการทำงานนั้นก็คืองานของค่ายเพลงนั้นอยู่ดี เมื่อมีเวลามากพอผมจึงเริ่มคิดได้ถึง ทางเดินชีวิตในการทำงานของผมในภายภาคหน้า…….มีต่อครับ

(continue reading…)

ปิดความเห็น บน ทำไมถึงอยากเป็นข้าราชการ ภาค 2 ตอน ชีวิตตอนทำงานก่อนจะมาถึงปัจจุบัน more...

การสอบบรรจุเป็นข้าราชการ…ง่าย หรือ ยาก?? ทำไมถึงอยากเป็น??

by on ธ.ค..21, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

 

การสอบบรรจุเป็นข้าราชการ…ง่าย หรือ ยาก?? ทำไมถึงอยากเป็น??

เมื่อสักสอง สามวันที่แล้วผมได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนสมัยเรียนด้วยกันที่สวนดุสิต ใน facebook หลังจากไม่ได้คุย(เป็นเรื่องเป็นราว)กันมานาน พอดีผมคุยกับรุ่นน้องอีกคนอยู่เรื่องสอบติด เค้าก็เลยมาถามว่า “สอบอะไรติด”  “สอบราชการติดว่ะ” ผมตอบไปอย่างงั้น เพื่อนคนนี้ก็เลยถามกลับมาว่า “มันสอบกันอย่างไงว่ะ ยากไหม มีเมื่อไรบอกด้วยนะจะไปลองมั่ง” … จากคำถามนี้ สำหรับคนทั่วไป อาจจะตอบแค่ว่า “อืม มีเดี๋ยวบอก” แล้วก็จบ….แต่ถ้าจะให้อธิบายจริงๆ มันยาวมากครับ เลยถือโอกาสนี้มาเล่าเลยละกันว่าเส้นทางการสอบแข่งขันบรรจุเข้ารับราชการนั้นมันเป็นอย่างไรบ้าง…

ก่อนจะเริ่มเล่า คงต้องเล่าถึงตัวเองก่อนว่า มีความรู้ประสบการณ์อะไรถึงสามารถมาเล่าให้ท่านๆ ฟังกันได้ อันตัวกระผมนั้น ณ ปัจจุบันยังคงเป็น ลูกจ้างอยู่หน่วยงานราชการอยู่ ซึ่งต้องขอบอกจากใจเลยว่า ผมรักที่นี้มาก ที่นี่สอนอะไรกับผมมากจริงๆและคงสอนผมไปตลอดทั้งชีวิต แต่!! ด้วยกิเรสในตัวผมที่สร้างหนี้สินไว้มากมายและยังคงต้องการสร้างหนี้สินต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตและชำระหนี้ได้ด้วยลำพังเงินเดือนของลูกจ้างได้ หรือมีเงินเก็บที่แน่นอนยามฉุกเฉินได้เลย “ถ้ามีคนล้างหนี้ให้และมีสัญญาว่าจะจ้างผมเป็นลูกจ้างที่นี่ไปตลอดชีวิต ผมไม่ไปไหนจริงๆครับ ผมสาบาน”….

“แล้วเล่าทำไมฟ่ะ” คงมีคนหมั่นไส้อยู่บ้าง “ตูลำบากกว่าเอ็งอีก มาเล่าทำไม” ที่เล่าให้ฟังเพื่อเกรินเรื่อง เข้าสู่หัวใจของการตั้งใจสอบแข่งขันบรรจุเป็นข้าราชการ ก็เพื่อ!! ความมั่นคงทั้งในปัจจุบันและอนาคต เป็นการวางแผนระยะยาวมากๆ ถึงขนาดอายุ หกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบปีโน่นเลย (ถ้าอยู่ถึงก็จะดีมาก) ข้าราชการนั้น มีเงินเดือนที่มั่นคง และมีอัตราการขึ้นเงินเดือนที่สม่ำเสมอ มีสวัสดิการที่แสนจะมากมาย มีหลักประกันในการสร้างเครดิตรูปแบบต่างๆ มีหน่วยงานและองค์กรต่างๆให้ความเชื่อถือและเสนอบริการพิเศษอยู่บ่อยครั้ง มีโบนัสเหมือนบริษัท(เป็นบางที่) มีลูกน้องที่คอยทำงานแทน (ลูกจ้างแบบผมนี้ล่ะ) มีสิทธิพิเศษในการเบิกค่ารักษาพยาบาลที่สุดยอด และเมื่อทำงานครบ ยี่สิบห้าปี จนเกษียณอายุราชการ ก็ยังคงได้เงินเดือนไว้เลี้ยงตัวเองและลูกหลานยามแก่เถ้า….. มีต่อครับ

(continue reading…)

3 Comments more...

แบบฝึกวิชา คอมพิวเตอร์กราฟิก 2 นักศึกษาระดับชั้น ปวช. 2 กลุ่ม 3 ภาคเรียนที่ 2/2553

by on พ.ย..22, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

งานชื้นที่ 1 ออกแบบสมุดบันทึกพร้อมทำรูปเล่ม

งานชื้นที่ 2  ออกแบบตัวหนังสือแล้วคัดลอกลงบนคอมพิวเตอร์ ด้วย Adobe Illustrator

งานชิ้นที่ 3 รายงานเรื่องโปรแกรม Adobe Illustrator

งานชิ้นที่ 4 ออกแบบ โลโก้ ธนารักษ์แล้วคัดลอกลงบนคอมพิวเตอร์ ด้วย Adobe Illustrator

งานชิ้นที่ 5 คัดลอกตราประจำจังหวัดต่างๆตามที่ได้รับมอบหมายลงบนคอมพิวเตอร์ ด้วย Adobe Illustrator

งานชิ้นที่ 6 วาดภาพบุคคลพร้อมลงสี (ดาราเลือกแบบอิสระ) ด้วย Adobe Illustrator

งานชิ้นที่ 7 วาดภาพบุคคลขาวดำ  (กำหนดต้นแบบให้) ด้วย Adobe Illustrator

งานชิ้นที่ 8 วาดภาพบุคคลครึ่งตัว (ถ่ายภาพให้จำนวน 10 ภาพแล้วคัดเลือกตามใจชอบ) ด้วย Adobe Illustrator

งานชิ้นที่ 9 กระบวนการ Design ตัวการ์ตูน ด้วย Adobe Illustrator

งานชิ้นที่ 10 ผลิตการ์ตูน 9 ช่อง ด้วย Adobe Illustrator

งานสอบปลายภาค วาดภาพใบหน้าตนเอง (ถ่ายภาพด้วยตนเอง) ด้วย Adobe Illustrator

การเก็บคะแนน

คะแนนระหว่างภาค 60 คะแนน

จิตพิสัย 20 คะแนน (ตรงต่อเวลา/การแต่งกาย/รักษาความสะอาด/ซื่อสัตย์/มีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงาน)

สอบปลายภาค 20 คะแนน **อาจารย์บอกผิดว่า 30 นะครับแก้เป็น 20 คะแนนโดยใช้จากคะแนนที่ได้มาจาก 30 คะแนนเป็นฐานแล้วแก้เป้นคะแนนเต็ม 20 คะแนน

คะแนนอย่างไม่เป็นทางการ

(continue reading…)

ปิดความเห็น บน แบบฝึกวิชา คอมพิวเตอร์กราฟิก 2 นักศึกษาระดับชั้น ปวช. 2 กลุ่ม 3 ภาคเรียนที่ 2/2553 more...

งานชื้นที่ 1 การสร้างรูปทรงต่างๆ

by on พ.ย..22, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

งานชื้นที่ 1 การสร้างรูปทรงต่างๆ

ปิดความเห็น บน งานชื้นที่ 1 การสร้างรูปทรงต่างๆ more...

บทที่ 1 อุปกรณ์ประเภทต่างๆของกล้องถ่ายภาพ

by on พ.ย..22, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

บทที่ 1 อุปกรณ์ประเภทต่างๆของกล้องถ่ายภาพ

ปิดความเห็น บน บทที่ 1 อุปกรณ์ประเภทต่างๆของกล้องถ่ายภาพ more...

บทที่ 1 ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์

by on พ.ย..22, 2010, under ทีมบาสหมีคะนองศึก

บทที่ 1 ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์

ปิดความเห็น บน บทที่ 1 ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ more...

Room39 กลุ่มดนตรีไทยใน LA

by on ต.ค..12, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

 

 Room39 เกิดขึ้นจากการพูดคุยของคนสองคนเกี่ยวกับการทำวีดีโอขำๆเล่นๆเอาไปลงยูทุ้บ บทสนทนาเกิดประมาณเวลา 11 น. ว่าไว้คร่าวๆดังนี้

………………กริ๊งงงง กริ๊งงงง

นายแว่นใหญ่ :”โหลๆ เห้ยๆ ผมอยากจะถามเรื่องทำวีดีโออ่ะ คืออยากให้เสียงมันชัดๆเป้งๆ มันต้องทำไงมั่งอ่ะ”

นายโอแป๊ก :”อ๋อ ไม่ยากหรอกเราก็อัดไปพร้อมๆกันแต่แค่แยกเสียงกะภาพไว้ แล้วค่อยไปตกแต่งทีหลัง”

นายแว่นใหญ่ :”เออๆดีๆแต่ว่าจะไปทำที่ร้านไม่รู้ต้องใช้ไรมั่ง”นายโอแป๊ก :”เห้ยไม่เยอะ เอางี้เดี๋ยวมานี่ดิ่ มาอัดที่บ้านเราก็ได้”

…………. 45 นาทีให้หลัง รูมเตอร์ตี้ไนน์ก็ได้เกิดขึ้น ณ อพาร์ทเม้นเล็กๆแห่งหนึ่ง ในย่านชุมชนเกาหลี


ศิลปินเบื้องต้น มีดังนี้: ทอม มน และ แว่นใหญ่

 

Room39 เป็นห้องที่ใช้ทำงานกัน ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรมาก เป็นอพาร์ทเม้น หนึ่งห้องนอนธรรมดา มีเครื่องดนตรีนิดหน่อย แล้วให้นักร้องนักดนตรีมานั่งเล่นกัน ใช้กล้องถ่ายรูปธรรมดาสองตัวถ่ายวีดีโอพร้อมกัน แล้วก็อัดเสียงลงใน pro tools และตัดต่อใน avid โดยความอ่อนทางทักษะและปัญญาของเจ้าของห้อง 

 www.youtube.com/thaiboxer4kickurass
ผลงานของพวกเค้าลองฟังดูครับ


Room39 เชื่อว่าดนตรีไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ที่ห้องอัด และขึ้นอยู่กับการตลาดในการที่จะเข้าถึงสู่ผู้ฟัง ดนตรีขึ้นอยู่กับอารมณ์และทักษะของศิลปิน “ณ เวลานั้น” ที่แสดงมันออกมา เก็บบันทึกให้ดูสวยงาม แล้วจึงแพร่สู่ผู้ฟังให้ง่ายๆ เทคโนโลยีสมัยใหม่จึงมีผลอย่างยิ่งกับงานดนตรีทุกวันนี้

(continue reading…)

ปิดความเห็น บน Room39 กลุ่มดนตรีไทยใน LA more...

พวงหรีด…..มันคืออะไรเน้อ…..

by on ต.ค..12, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

                พวงหรีด??  จริงๆ แล้วใครรู้มั่งว่ามันคืออะไร ทำไมต้องเป็น พวงหรีด แล้วทำไมต้องเรียกว่า พวงหรีด ทำไมต้องไว้ในงานศพ ทำไมต้องซื้อให้ ทำไมต้องให้ ให้แล้วมันเป็นอย่างไง

                นี่คือคำถาม เมื่อผมไปงานศพของคุณแม่เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทและผมเคารพคุณแม่ของเค้า และผมเสียใจกับการจากไปครั้งนี้แบบสุดหัวใจจริงๆ ต้องขอเล่าเรื่องย้อนไปก่อนหน้านี้หน่อย คือผมรู้จักกับคุณแม่ของน้องเค้ามาก่อนที่จะรู้จักน้องเค้าซะอีก และมาสนิทกันตอนที่มาทำงานที่เดียวกันกับเดินทางไปสอบด้วยกันบ๋อยๆ เมื่อคุณแม่ เค้าเสียไปผมก็เต็มใจช่วยเหลือน้องเค้าแบบเต็มที่ ก่อนอื่นผมขอเล่าถึงความหมายของพวงหรีดและหน้าที่ของมันก่อน

                พวงหรีด (wreath)  หมายถึง เมื่อคนเราตายบรรดาญาติมิตรพี่น้องก็จะนำพวงหรีดมาวางไว้ เพื่อแสดงความอาลัย และความระลึกถึง ซึ่งประเพณีนี้ สืบทอดมาจากยุโรปเหนือเมื่อนานมาแล้ว ความเชื่อนี้คือ ทูตสวรรค์จะมานำวิญญาณของคนที่เสียชีวิตไป และการให้พวงหรีด ก็ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อทูตสวรรค์เหล่านี้  จะเห็นว่าการวางพวงหรีดเป็นประเพณีของชาติตะวันตก แม้แต่คำว่า “หรีด” ก็เป็นคำทับศัพท์ ภาษาอังกฤษ คือ Wreath (รีธ) แปลว่า n. พวงหรีด,พวงมาลัย,มาลัย,สิ่งที่ร้อยเป็นวง vt.,vi. ร้อย(พวงมาลัย,ดอกไม้) พันรอบ,ม้วน,โอบ,โอบล้อม,ล้อมรอบ,ปิด,หมุน,ทำให้งอ,หมุนเป็นวง แต่สำหรับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ได้รับเอาประเพณีดังกล่าวมา แต่ต่างวัตถุประสงค์ คือ การส่งพวงหรีดวางในงานศพ เพื่อเป็นการแสดงออกถึง คำว่า “ขอแสดงความเสียใจ” ต่อเจ้าภาพ หรือญาติมิตรพี่น้องของผู้เสียชีวิต รวมทั้งเป็นการแสดงด้วยว่า ตนเอง ครอบครัว หรือองค์กร ได้มาคารวะผู้เสียชีวิตแล้ว โดยมักจารึกชื่อของ ตนเอง ครอบครัว หรือองค์กร ติดไปกับพวงหรีดด้วย  ในมุมมองของนักวิชาการสิ่งแวดล้อม พวงหรีด ซึ่งได้ถูก จัดทำ ตกแต่ง อย่างสวยงาม ได้มอบ ต่อ ญาติมิตรพื่น้องผู้เสียชีวิต ก็จะถูกวางในสถานที่จัดงานศพของผู้เสียชีวิตตามความเหมาะสม อย่างเป็นระเบียบและส่วยงาม และเมื่อมีการนำศพผู้เสียชีวิตไปทำพิธีฌาปนกิจ หรือเตรียมเผาศพ ก็มักจะนำพวงหรีดตกแต่ง หรือเข้าขบวนพิธีด้วย

ที่มา / http://www.gwwn.net/bb/data/00037-2-1.html

 

มีต่อ…

 

(continue reading…)

ปิดความเห็น บน พวงหรีด…..มันคืออะไรเน้อ….. more...

Artist คือ…?

by on ต.ค..01, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

Artist คือ…? สำหรับโปรแกรมแปลภาษา [Thai Translator]
คือ ศิลปิน

 

Artist คือ…? ในพจณานุกรม
ได้กล่าวไว้ว่า คำคำนี้มันแปลได้ก็คือ  ผู้มีฝีมือหรือทักษะ จิตรกร นักเขียนหรืออะไรพวกนั้น

Artist คือ…? สำหรับคนไม่ art

Artist คือ…? สำหรับโปรแกรมแปลภาษา [English Translator]
คือ คนที่เจ้าเล่ห์

คืออะไรที่บ้าๆบอๆ ทำรัยกัน ก็ไม่รู้ *ไม่ใช่ปัจจัย 4

Artist คือ…? สำหรับบุคคลทั่วไป
คือ… สิ่งๆหนึ่ง ที่ขีด เขียน หรือ สร้างสรรค์ และแสดงออกความคิดของตัว ผ่านสื่อ ต่างๆ ได้

Artist เป็น คำแทน ลักษณะ อะไรสักอย่าง
ที่มัน ‘อาร์ตๆ’ ในสายตาของคนคนหนึ่ง

Artist คือ…? สำหรับศิลปินคนที่ 1

ไม่ใช่คนรวยมีเงิน หรือ นักออกแบบ หรือ ช่างภาพอิสระ คำคำนี้กำหนดมาเพื่อใช้สำหรับคนที่เก่งในด้านต่างๆ และมีจุดยืนมีความมั่นใจในตัวเองสูง กล้าที่จะเงยหน้ารับคำด่าของคนอื่นโดยที่ไม่กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง หรือสิ่งที่ทำไปจะได้อะไรตอบแทนขอให้แค่ได้ทำเท่านั้น ไม่สนว่าพรุ่งนี้กูจะแดกอะไร มันก็เหมือนกับ เพลงใต้ดิน ที่ร้องกันไม่รู้เรื่องนั่แหละ แล้วเค้าก็พอใจกับสิ่งที่เค้าทำ เค้าอาจจะมีแฟนเพลงของเค้าอยู่ไม่กี่สิบคนแต่เค้าก็มีความสุข

Artist คือ…? สำหรับศิลปินคนที่ 2

คือ ผู้ เลือกที่จะถ่ายภาพด้วยความรัก และหลงไหลในการทำงานมากกว่าเงินอีกอย่างที่สำคัญสำหรับพี่ท่านนี้ ได้ให้ความหมายที่แคบอย่างลงตัวของคำว่่า ช่างภาพ คือ แค่รับจ้างงานทุกอย่างและเค้าเลือกเรียกตัวเองว่า artist ไม่ใช่ช่างภาพสำคัญคือ เราต้องถ่ายรูปด้วยความรักเพราะ เรารักที่จะถ่ายรูป (บาดจิต)

Artist ต่างคนต่างความคิด ก็แปลกันไปกระทั่งคนถ่ายภาพ ก็ยังให้ความหมายไม่เหมือนกันแต่ก็ถือว่าใกล้เคียง อย่างลงตัว อิอิ

สรุป artist สำหรับฉัน คือ

ผู้ที่มีแนวคิดเป็นของตัวเองในหารทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะภาพถ่าย งานศิลปะ หรือ ผลผลิตที่คุณพึ่งสร้างเสร็จมะกี้ จะออกมาสวยหรูหรืออุบาดแค่ไหน ใครจะติว่าเป็นเหมือนขยะรกโลก หรือจะชมว่าอลังการงานสร้างก็ไม่สนใจ ขอแค่ได้ทำในสิ่งที่รักและชอบ มีความสุขกับมัน แค่นั้น

แล้ว Artist ในหยักสมองของคุณละ คือ…?

เขียนโดย N”ⓟⓡⓐⓦ✿   http://hanajangpraw.blogspot.com/2009/05/artis.html

ขออนุญาตนำบทความมาเผยแพร่ให้ท่านอื่นๆได้อ่านครับ ขอขอบพระคุณมากครับ

ปิดความเห็น บน Artist คือ…? more...

ปิดเทมอแล้ว จะมีการสอนพิเศษเรื่อง “กระบวนการคิด”

by on ก.ย..29, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

ถ้ามีนักศึกษาคนไหนสนใจก็มาเรียนได้ครับ (คนเดียวก็สอน)

วันที่ 4-8 ตุลาคม 2553

ทั้งหมด 5 วัน เวลา 9.00-12.00 และนำงานกลับไปฝึกต่อที่บ้านหรือ ทำที่คณะก็ได้

โดยมีเนื้อหาดั่งนี้

วันที่ 4 ต.ค. 53
1. การคิดวิจารณญาณ

วันที่ 5 ต.ค. 53
2. การคิดสร้างสรรค์

วันที่ 6 ต.ค. 53
3. การคิดตัดสินใจ

วันที่ 7 ต.ค. 53
4. การคิดแก้ปัญหา

วันที่ 8 ต.ค. 53
แบบทดสอบ

จบหลักสูตรพัฒนาความคิดครับ

3 Comments more...

ประกวดออกแบบโลโก้และคำขวัญ งาน Asian Food Festival 2010

by on ก.ย..09, 2010, under ครูหมีสอนศิลปะ

งานสอบปลายภาค วิชา การตัดแต่งภาพฉาย
ของนักศึกษา สาขาวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก ปวช 2 กลุ่ม 3 นะครับ
ส่ง วันที่ 14 กันยายน 2553 (40 คะแนน)

สิ่งที่ต้องส่ง

1. ผลงานสำเร็จ print ลงบนกระดาษ A4  จำนวน 3 แผ่น ประกอบไปด้วย

  • ภาพโลโก้สี
  • ภาพโลโก้ขาว-ดำ
  • แนวความคิดในการออกแบบ

(แปะลงบน ฟิวเจอร์บอร์ดสีดำ พร้อมชื่อ-นามสกุล รหัสนักศึกษา)

2. ผลงานสำเร็จในรูปแบบไฟล์ดิจิตอล ในสื่อบันทึกข้อมูลที่สามารถแก้ไขผลงานได้

3. Present ผลงานในวันที่ 14 กันยายน 2553 เวลา 10.00 น. ณ ห้องคอมพิวเตอร์

*รายละเอียดของการประกวดและการตัดสินให้คะแนนของอาจารย์ ให้นักศึกษาตรวจสอบได้ที่กระดานข่าวที่คณะ

ข้อมูลทั่วไปของการออกแบบ

Asian Food Festival 2010 คือ เทศกาลอาหารนานาชาติของ กลุ่ม Asian โดยในปีนี้ หอการค้าสิงค์โปร์-ไทย ได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงาน โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์งานในครั้งนี้และจะนำ โลโก้ที่ออกแบบนี้ไปประชาสัมพันธ์ในรูปแบบของสื่อต่างๆ เช่น จดหมาย ป้ายประชาสัมพันธ์ website โดยงานจะมีขึ้นในวันที่ 12-14 พฤศจิกายน 2553  ที่เมืองทองธานี

โดยการออกแบบนั้นจะต้องสอดคล้องกับงานในครั้งนี้ โดยสื่อถึงเทศกาลอาหารของเอเชียได้เป็นอย่างดี และจะถูกนำไปใช้ ภายในปีนี้จนถึงปีหน้า (หมายถึงปีต่อปี) โดยต้องส่งงานในรูปแบบของไฟล์ดิจิตอลที่สามารถแก้ไขปรับปรุงโลโก้ได้ในภายหลังด้วย

ข้อบังคับ

ในการออกแบบครั้งนี้ในเอกสารไม่ได้จำกัดรูปแบบและขนาดไว้ แต่ คงไว้ซึ่งหลักการออกแบบโลโก้ คือ ไม่ควรมีสีเกิน 4 สี และ ขนาดที่ควรเห็นชัดขนาด ไม่เกิน 3 CM  สามารถนำไปใช้ได้ทั้งแบบสี และขาว-ดำ โดยยึดถึงความเหมาะสมตามชื่องานและลักษณะของงาน

ผู้เขียน /จานหนุ่ม…2010-09-09

ปิดความเห็น บน ประกวดออกแบบโลโก้และคำขวัญ งาน Asian Food Festival 2010 more...

ประกวดออกแบบบรรจุภัณฑ์ “ผลิตภัณฑ์ชีวภาพไทย ก้าวไกลสู่ตลาดโลก”

by on ก.ย..09, 2010, under ครูหมีสอนศิลปะ

ประกวดออกแบบบรรจุภัณฑ์
“ผลิตภัณฑ์ชีวภาพไทย ก้าวไกลสู่ตลาดโลก”
ในงาน Bio-Economy 2010

(continue reading…)

ปิดความเห็น บน ประกวดออกแบบบรรจุภัณฑ์ “ผลิตภัณฑ์ชีวภาพไทย ก้าวไกลสู่ตลาดโลก” more...

เหลาดินสอนั้นสำคัญไฉน…..

by on ก.ย..05, 2010, under ครูหมีขี้บ่น

พอดีวันนี้ได้รับ forward mail จากน้องที่ทำงานเก่า เห็น idea แล้วเลยเอามาเล่าต่อให้ฟัง ลองดูละกันครับว่าคนทำเค้าคิดไรอยู่ ขำๆ ถ่ายรูปก็สวย

(continue reading…)

ปิดความเห็น บน เหลาดินสอนั้นสำคัญไฉน….. more...

Looking for something?

Use the form below to search the site:

Still not finding what you're looking for? Drop a comment on a post or contact us so we can take care of it!

Visit our friends!

A few highly recommended friends...